ไม่ได้เล่นเกม JRPG แล้วรู้สึกอิ่มแบบนี้มานานมากแล้ว
สิริรวมประมาณ 110 – 120 ชั่วโมง
อาศัยเปิดกูเกิ้ลทรานสเลดแล้วเขียนคันจิแปลไปทีละคำๆ ก็ได้ศัพท์ใหม่เพิ่มมาบ้างเป็นผลพลอยได้
เกมเพลย
ระบบต่อสู้ของ Dragon Quest XI เวอร์ชั่น PS4 จะเป็นแบบผลัดกันใส่คำสั่งตามตัวที่ได้เดินก่อนคล้ายๆ กับ FFX หรือ XenosagaIII แต่ตัว UI ไม่มีแถบที่จะบอกลำดับได้ตีก่อนหลัง เราจะต้องคอยกะเองว่าใครจะได้เดินก่อน
จุดที่ชอบคือ ถึงมันจะยังเป็นตัดฉากสู้อยู่ แต่ว่าพื้นที่ที่พวกเรายืนกันมันจะตรงกับช่วงที่เราเดินตอนนั้นเลย และบางทีก็จะเห็นมอนสเตอร์ตัวอื่นที่ไม่ได้สู้กับเราเดินไปเดินมาตรงนั้นด้วย ทำให้รู้สึกมันต่อเนื่องกว่าตัดฉากสู้แบบเก่าๆ ที่ฉากเป็นแบบนึง พอสู้มันก็กลายเป็นฟีลด์อีกแบบนึง
ตรงนี้ได้ยินว่าถ้าเป็นของ 3DS จะเป็นเทิร์นเบสแบบดั้งเดิมคือใส่คำสั่งทีเดียวทุกคน แล้วก็ไปลุ้นกันเอาเองหลังผ่านเทิร์นว่าใครจะได้ตีก่อนหลัง ซึ่งคนที่เล่นเปรียบเทียบทั้งสองเวอร์ชั่นเขาว่ากันว่าของ 3DS เกมจะเร็วกว่ามากเพราะการใส่คำสั่งทีเดียวทั้งสี่คนแล้วกดผ่านเทิร์นจะใช้เวลาคิดน้อยกว่าใส่คำสั่งทีละคนไปเล่นไป
ระบบปาร์ตี้สามารถเปลี่ยนพวกเราเข้าออกได้ตลอดเวลาในระหว่างสู้ แต่พวกเราที่เพิ่งสับเปลี่ยนเข้ามาจะยังไม่สามารถใส่คำสั่งได้ทันทีต้องรอเทิร์นถัดไป อธิบายง่ายๆ เป็นภาษาไฟนอลก็คือ พวกเราที่เพิ่งสับเปลี่ยนเข้ามาเกจ ATB จะเป็น 0 ต้องรอมันนับใหม่จนเต็มก่อน
มุมกล้องแบบฟรีคาเมร่า เข้าใจว่าเป็นมุมกล้องที่ยกมาจากภาค 10 สามารถบังคับตัวเราเดินไปเดินมาระหว่างสู้ได้ แต่ไม่ได้มีประโยชน์อันใดในระหว่างเล่นเลย ถ้ารำคาญก็ปิดทิ้งไปใช้มุมกล้องแบบเก่าจะได้อารมณ์แบบตอนเล่นภาค 8 แทน
ระบบเรนเคย์ หรือท่าประสาน อันนี้น่าเสียดายไปนิด มันใช้ยากเกินไป คือมันจะต้องรอพวกเราคนที่อยู่ในเงื่อนไขเรนเคย์เข้าโหมดโซนก่อน ไอ้โหมดโซนนี่ก็เหมือนซุปเปอร์ไซย่าแบบนึง เล่นไปเรื่อยๆ พอถึงจุดพวกเรามันก็จะเปล่งพลังออร่าสีฟ้ากันเอง พวกเราที่อยู่ในโซนก็จะได้แสตทบูสนิดนึง ปัญหาคือมันไม่รู้ว่าพวกเราจะเข้าโซนกันเมื่อไหร พอเข้าโซนไปแล้ว ถ้าไม่กดเรนเคย์สักพักโซนมันก็หลุดออกไปเองอีก เลยกลายเป็นเหมือนระบบของแถมมากกว่า
เริ่มเกมมาผมก็ตั้งพวกเราให้คอมบังคับหมดทุกตัวยกเว้นตัวเรา ถึงบอสก็บังคับเองบ้าง ไปจนถึงเริ่มพาร์ทสอง ที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นบังคับเองหมดเพราะคอมมันใช้ท่าเปลือง mp หรือใช้ท่าไร้สาระบ่อย ก็คิดว่าเป็นเกมที่เล่นสบายๆ ดี ตั้งพวกเราเป็นคอมบังคับก็เล่นผ่านได้ ไปจนถึงพาร์ทสามนั่นแหละ ที่ความยากมันกระโดดจากพาร์ทสองมาก ถ้าไม่ไปนั่งปั๊มเลเวลกันใหม่ตอนพาร์ทสามก็คงจะมีหน้ามืดกันบ้าง
เนื้อเรื่อง
Dragon Quest XI ตัวเกมแบ่งออกได้เป็นสามพาร์ทใหญ่ๆ
พาร์ทแรก กับ พาร์ทสอง เป็นเนื้อหาหลักของเกม บอสใหญ่ของเรื่องก็จะโดนกระทืบในพาร์ทสอง เล่นจบแค่สองพาร์ทก็จะเข้าใจเนื้อหาได้เกือบ 80 เปอเซน ส่วนที่เหลือก็จะตามไปเฉลยต่อในพาร์ทสาม ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องหลังกระทืบจอมมารไปแล้ว แต่ยังมีบอสตัวจริงของเกมซ่อนอยู่อีกตัว และเป็นพาร์ทเฉลยปริศนาที่ยังค้างคาอยู่ทั้งหมด
โดยส่วนตัวผมชอบเนื้อเรื่องในพาร์ทสองที่สุด มันเป็นช่วงที่พวกเราแต่ละคนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา และใช้ความพยายามที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนเดินทางไปปราบจอมมารได้
แต่ในพาร์ทที่สาม ทุกอย่างมันจะดูง่ายไปหมดแบบตัดจบแฮปปี้เอนไปทุกอย่าง ก็ไม่ใช่ไม่ดี เขียนมากไปก็สปอย เอาเป็นว่าเข้าใจว่าทำไมถึงพาร์ทสามมันออกมาเป็นแบบนั้น เพราะในพาร์ทสองพวกเราโดนของหนักกันไปหมดแล้ว พาร์ทสามเลยออกมาแบบรวบรัดตัดจบกัน จะให้มาโดนของหนักรีเพลย์กันอีกรอบก็จะดูซ้ำซากไป
แต่จุดที่พาร์ทสามทำมาได้ดีคือการตามคลายปมปริศนาที่เหลืออยู่ทั้งหมด ที่ไม่ได้อธิบายในสองพาร์ทแรกก่อนหน้า กับตัวเกมที่กลายเป็นปลายเปิด ปล่อยให้เราเลือกไปทำเควสที่เมืองไหนก่อนก็ได้ (แลกกับการที่ศัตรูเก่งขึ้นจนสงสัยว่าไอ้ที่ง่ายๆ ที่ผ่านมานี่มันคืออะไร)
งานภาพ
คัทซีนทำมาได้ดี ตัวละครแสดงสีหน้ากับอารมณ์ชัดเจนมาก เป็นภาคที่ตัวละครทุกตัว มีชีวิตชีวา รู้สึกชอบมาก ในคัทซีนหลายๆ จังหวะก็ทำมาได้กระชากอารมณ์มาก ติดแค่อย่างเดียวไม่มีเสียงพากย์ คือนึกสภาพว่าคัทซีนอลังการณ์ระดับร้อยล้านแต่ตัวละครใบ้แดกกันหมด มีเท็กซ์เป็นซับไตเติ้ลให้นั่งอ่านอย่างเดียว มันชวนขัดใจเป็นบ้าจริงๆ
ด้านตัวมอนสเตอร์ รู้สึกว่าเรื่องโมชั่นหลายๆ อย่างไม่ต่างจากตอนเล่นภาค 8 เท่าไหร คือดูแล้วมันก็มีการเคลื่อนไหวไไปมาตลอดเวลา ดูเหมือนเป็นตัวการ์ตูนจริงๆ ที่ถ่ายทอดลายเส้นของ อ.โทริยามะ ออกมาได้อย่างเนียนๆ
แต่ไม่ชอบตรงที่มอนสเตอร์รียูสเยอะมาก ขนาดเจอหน้าบอส บอสเกือบทุกตัวในเกมนี้แทบจะเป็นมอนสเตอร์ธรรมดาจับมาเปลี่ยนสีใหม่ทั้งนั้น เลยรู้สึกไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเท่าไหร
จุดที่ชอบอีกอย่างคือบ้านเมืองของเกมนี้ แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ของมันเองที่โดดเด่นมาก เหมือนกับการย่อเอาวัฒนธรรมต่างๆ บนโลกนี้ไปไว้ในเกม แต่ที่พี๊คที่สุดนี่ต้องยกให้โรงเรียนเมดัล (ไอ้เมดัลเหรียญเล็กนั่นแหละ) ที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนแบบญี่ปุ่น แบบเฮ้ยใช่เหรอวะ โรงเรียน JK ที่หลุดมาอยู่ในยุค medival เนี่ย
เพลง
ออกไปทางน่าเบื่อ ใช้เพลงซ้ำๆ เยอะ จะเป็นเพลงในเมือง หรือเพลงในดันเจี้ยนมันก็จะมีไม่กี่แบบ ส่วนตัวชอบเพลงในฉากใต้น้ำเป็นพิเศษ แต่เพลงอื่นนี่เฉยๆ มาก ส่วนเสียงเอฟเฟคอื่นๆ ก็มาแบบ DQ ดั้งเดิมเลย คือแบบเล่น DQ เสียงเอฟเฟคยิงเวทย์ เลเวลอัป เดินขึ้นบันได มันก็ต้องแบบนี้ละนะ
อื่นๆ
ตัวเราในพาร์ทสุดท้ายจะได้พลงดาบ ผ่าปฐพี ผ่าวารี ผ่านภา… ใช่แล้วครับ อวานสตราชจากไดตะลุยแดนเวทย์มนต์นั่นเอง… ท่าจับดาบตอนใช้ยังเหมือน เรียกว่าดักแก่สุดๆ แต่ใน DQXI จะมีเพิ่ม ผ่าเปลวเพลิง ผ่าความมืด ผ่าประกายแสง เข้ามาให้ครบหกธาตุ
อนึง ท่าไม้ตายอื่นๆ ในไดตะลุยแดนเวทย์มนต์เคยโดนหยิบไปใช้ในดราเก้มาหลายท่าแล้ว แต่ DQXI เป็นภาคแรกที่เอาอวานสตราชมาใช้
ถ้วยเกมนี้ไม่ยากมาก หลายๆ ถ้วยที่เป็นถ้วยเชิงสะสมของนั้น มันไม่ได้ขอให้เราเก็บเต็ม 100% เช่นด้วยเหรียญเมดัล เก็บไปแค่ครึ่งเดียวก็ได้แล้ว แต่ถ้วยที่น่าเบื่ออย่างเล่นมินิเกมไล่ยิงเป้าตามฉากเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก แนะนำว่าให้ไปเปิดเว็บดูเฉลยเอาดีกว่ามานั่งโฟโต้ฮันท์เอง
ใครยังลังเลอยู่ว่าจะเล่นดีไหม ถ้าพออ่านญี่ปุ่นออกได้บ้างก็เล่นเลยเหอะครับ ดีกว่าไปเล่นอังกฤษ แล้วเจอ localize แบบฝรั่งๆ แน่นอน แต่ถ้าอ่านไม่ออกรออังกฤษออกก็ยังน่าเล่นอยู่ดีครับ