ช่วงนี้ BioWare มาแรงจริงๆ
เมื่อปลายปีที่แล้วก็ส่ง Dragon Age Origin มาสะเทือนวงการเกม RPG ฝรั่งไปรอบนึง
มาปลายเดือนมกราที่ผ่านมาก็ส่ง Mass Effect 2 ถล่มซ้ำ ที่ตอนนี้ยอดขายทะลุ 2ล้านชุดไปเรียบร้อย
แถมยังประกาศภาคเสริมของ Dragon Age Origin แบบสายฟ้าแลบเมื่อกลางเดือนที่แล้วอีก
แต่อันนี้ ผมว่าจริงๆ แล้ว BioWare มันต้องคิดพล็อตรอเอาไว้ก่อนปล่อยเกมภาคแรกออก มานานมากๆ แน่ๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถวางแผนออกภาคเสริมได้เร็วขนาดนี้หรอก ปรกติเกมภาคเสริมรอกันเป็นปี นี่รอไม่ถึงครึ่งปี
หรือว่าระบบทุนนิยมของ EA จะเข้าครอบงำ BioWare ไปหมดแล้ว ดูจากวิธีการขาย DLC ของ DragonAge ก็ได้ ถึงกับส่ง NPC ไปเป็นนายหน้าขาย DLC ในเกม นับเป็นเกมแรกเลยที่ใช้วิธีการโฆษณาขาย DLC แบบนี้
….เอ่อ ถึงจะบ่นหยังงั้น หยังงี้ ถ้า DAO: Awakening ออกผมก็เล่นอยู่ดีละครับ (อ่าว… เรียก ซึนเดเระ ได้ไหมนี่)
กลับเข้าเรื่องกันนิดนึง ถึงตอนนี้หลายๆ คนคงเล่น Mass Effect 2 จบไปกันบ้างแล้ว ผมเองก็จบแล้วเช่นกันด้วยระยะเวลา 22 ชั่วโมงเศษๆ มุ่งแต่ main quest ทุกเควสให้ครบ ไม่ไปแสกนดาวหาเควสเพิ่ม เพราะขี้เกียจ และต้องรีบทำเวลา ก่อนจะไม่มีเวลาเล่นเกมในเดือนนี้
สิ่งที่รู้สึกได้จากภาคนี้คือ อย่างแรกพบว่าเกมเน้นไปทาง แอกชั่น มากขึ้นเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว (ขอสารภาพว่าภาคที่แล้ว ตอนแรกผมเล่นได้แค่แปบเดียวก็ต้องปิดทิ้ง เพราะรู้สึกมันไม่ใช่ อย่างแปลกๆ แต่ก็มีอะไรดลใจให้หยิบกลับมาเล่นใหม่เมื่อครึ่งปีหลังของปีที่แล้วนี่เอง)
แต่มันก็ยังไม่ใช่เกมแอกชั่นจริงๆ อย่าง Gear of War หรือแนวที่คล้ายๆ กัน ระบบหลายๆ อย่างมันก็ยังทิ้งความเป็น RPG ไม่พ้นสักเท่าไหร
ที่แน่ๆ การที่ไม่สามารถทำ Blind Shot ได้ (ยิงจากที่กำบังโดยไม่หันหน้าออกมาเล็งเป้า) มันทำให้รู้สึกขัดใจมากเลยทั้งๆ ที่เกม FPS, TPS ที่มีแอบหลังกำแพงทั่วไปสามารถทำ Blind Shot ได้หมด (อ่าวแล้วเมื้อกี้เพิ่งบอกว่ามันก็ยังเป็นเกม RPG อยู่ดี)
แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่ตัวละครไม่มีค่าพลังความถนัดอาวุธที่ส่งผลกับความแรงและความแม่นของปืนแล้วมันทำให้เกมสู้มันส์ขึ้นเป็นกองเลยครับ
กลับกัน ด้านเนื้อเรื่อง ในภาคนี้ หากตัดเควสของเพื่อนออกให้หมด จะเหลือเนื้อหาที่เป็น เมนเควส อยู่จึ๋งเดียวเอง และด้วยจำนวนเพื่อนที่มากกว่าภาคที่แล้วเกือบเท่าตัว แต่บทพูดกลับทำให้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านั้นมีความลึกตื้นหนาบางน้อยมากเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว และเทียบไม่ได้เลยกับ DAO ที่เพิ่งออกไป หากใครเล่น DAO คงจะเข้าใจถึงบรรยากาศที่เราคุยกับเพื่อนเราในแค้มป์ได้ดี
สรุปว่าความเข้มข้นของเนื้อเรื่องในภาคนี้ ผมว่าด้อยลงไปพอสมควร แต่ประเด็นของเนื้อเรื่องมันก็ยังน่าติดตามอยู่ดี และยังดีที่เพื่อนของเราถูกเขียนบทมาบุคลิกและเนื้อเรื่องพื้นหลังแตกต่างกันมาก ดังนั้นในแง่ความหลากหลายของตัวละครยังคงมีอยู่ แต่ความหลายในด้านประโยชน์ใช้งาน อาจจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร
และอีกเรื่องการสำรวจดวงดาวต่างๆ ภาคนี้เปลี่ยนจากการที่เราขับรถลงไปสำรวจด้วยตัวเองมาเป็นแสกนดวงดาว แล้วยิง probe ลงไปบนดวงดาวเพื่อเก็บทรัพยากร หรือยิง prob นำร่องไปยังจุด anomaly ก่อนจะลงไปสำรวจด้วยตัวเอง
เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ว่าแบบไหน ระดับความเลวร้ายก็พอๆ กันคือ มันเป็นอะไรที่ repetitive เอามากๆ และมันจะสนุกอยู่แค่ช่วงแรกช่วงเดียว หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นความน่าเบื่ออันไม่มีที่สิ้นสุดแทน
จุดแตกต่างคือถ้าเป็นพวกชอบลงไปขับรถเล่นในดวงดาว หรืออยากเห็นอะไรกว้างๆ ก็อาจจะชอบแบบภาคแรกมากกว่า แต่ถ้าเป็นพวกชอบแบบ get to the point มุ่งไปที่ประเด็นอย่างเดียวก็จะชอบแบบภาคสองมากกว่า
สุดท้าย BioWare ยังคงยัดมุขมาเต็มที่เช่นเคย เท่าที่เล่นแล้วเจอด้วยตัวเองก็มีราวๆ นี้
มุขเกี่ยวกับญี่ปุ่น
- ร้านขายเกมใน Citadel ที่ Import เกมมาจาก Shin Akiba
- เกมที่มันขาย คุ้นๆ ว่ามีเกมชื่อ Galaxy Fantasy อะไรสักอย่างที่เป็น MMORPG ด้วย
- มีตัวละครพูดถึงราเมงจากโลกใน Citadel (ไม่รู้จะเกี่ยวกับ galaxy express 999 ไหมเพราะเรื่องนั้นก็ชอบมีพูดถึงราเมงสุดอร่อยในตำนานจากโลกเหมือนกัน)
- มีร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย (แต่เราคุยอะไรกับร้านนั้นไม่ได้)
มุขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับญีปุ่น
- หนูแฮมสเตอร์อวกาศ คาดว่าจงใจอ้างอิงถึง หนูแฮมสเตอร์ใน Baldur Gate ที่ชื่อ บู ซึ่ง มินซ์ เจ้าของ บู เคยพูดว่า บู เป็น space hamster
- มี NPC บ่นว่า “แย่ที่สุด เวลาพวก บาตาเรียน เข้ามาเล่นเกมกับเรา แล้วไม่ยอมพูดภาษากลาง ไปพูดภาษา บาตาเรียน ด้วยกันเอง” (มันแอบกัดประเทศประเทศสารขัณฑ์ แถวๆ นี้เปล่าวะเนี่ย)
- ตัวละคร….สักตัว อยู่ดีๆ ก็จำชื่อไม่ได้ ที่แต่งตัวเลียนแบบเรา และกำลัง ส-ใส่-เกือก เรื่องชาวบ้านไปทั่ว เมื่อเราคุยกับมัน และถามว่า แต่งตัวเลียนแบบเราทำไม มันก็จะตอบมาราวๆ ว่า “เรากำลัง ออกเดินทางไปทั่วจักรวาล และคุยกับคนต่างๆ เพื่อดูว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร ที่เราจะช่วยเหลือได้ตางหาก, บางครั้งก็ทุบลังข้างทางนิดหน่อย เผื่อว่าจะมีเงินหล่นให้เก็บ” (ครือ… เอ็งกำลังจะบอกอะไรสักอย่างกับตรูรึเปล่า….)
…แน่นอนว่าเกม RPG ของ BioWare เกมไหนไม่มีขึ้นศาล มานั่งชี้หน้าใส่กันตะโกน Objection จะผิดวิสัยของ BioWare มาก (เอ่อ… เอาจริงๆ มันคงไม่ถึงขั้นชี้หน้ากันหรอก) Mass Effect 2 ก็ยังคงมีอยู่เช่นเคย ถึงมันจะไม่ได้เป็น เมนเควส ที่บังคับเล่นก็ตาม
ปล. ภาคผมนี้ใช้แต่ ทาลิ กับ แกรัส ครับ เอาแต่มนุษย์ต่างดาวลงเนี่ยแหละ ( ‘ ‘)
มิรัลด้า ในเกมหน้าเป็นป้าอ้วนเกินไปหน่อย Art work ออกจะดูดีแท้ๆ
กรันท์ ใช้บ้าง ชอบตัวละครลักษณะนี้เป็นการส่วนตัว แต่ที่ไม่พอลง ดังนั้นก็อยู่เป็นทีมสำรองไปซะ
จาคอบ, ซาอีด, แจ๊ค ไม่เคยมีความคิดที่จะเอาลงทีมแม้แต่เศษเสี้ยวในกบาลเลยครับ เหม็นขี้หน้าหมดทั้ง 3 ตัว
และ มอริน นี่ไม่ไหวที่สุดแล้ว พูดด้วยภาษาที่อ่านแล้วปวดกระบาลเอามากๆ
ปล2. เล็ง romance กับ ทาลิ แท้ๆ แต่ดันทำเควสไปๆ มาแล้วทิ้งแฟนเก่าไม่ลงเลยไม่เห็นบท romance ไปซะงั้น ( ._.)
ปล3. ขออภัยถ้า เอนทรี่นี้อ่านแล้วมึนๆ เพราะรู้สึกคนเขียนก็มึนๆ เหมือนกัน บวกกับเมื่อวานดันตื่นมากลางดึกแล้วนอนต่อไม่หลับจนถึงเช้าเลย