Dragon Age 2 ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 8 มีนา 54 ที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ได้นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนเมื่อวันเสาร์ทีผ่านมานี้ (12 มีนา) ก็เล่นจบจนได้โดยวัดเป็นเพลย์ไทม์ทั้งหมดน่าจะราวๆ 35 ชั่วโมง และก็เกิดความรู้สึกคันปากอยากบ่นแต่ไม่รู้จะบ่นกับใครดี จะบ่นกับเพื่อนมันก็ยังเล่นไม่จบเดี๋ยวหาว่าไปสปอยมัน ก็มาเขียนบ่นในนี้ละกัน
เนื้อเรื่อง
ในภาค 2 เนื้อเรื่องจะถูกแบ่งออกเป็น 1 prologue กับ 3 chapter ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเล่าผ่านตัวละครตัวหนึ่งนามว่า Varric ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อร่วมเดือนทางไปกับเราตลอดจนจบเกมด้วยเช่นเดียวกัน Varric เป็นดว๊าฟ ที่มีนิสัย เอ่อ… ขี้โม้วเล็กน้อย ดังนั้นเรื่้องราวที่เล่าผ่านปาก Varric จะถูกโม้เหม็นเพิ่มเติมอย่างไรอันนี้คงมิอาจทราบได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรในภาคนี้ตัวละครที่เราจะได้รับบทบาทจริงๆ ก็คือพี่ชาย/พี่สาวคนโตของครอบครัว Hawke ซึ่ง Hawke ก็ไม่ได้เป็น Grey Warden แต่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่โตมาในตระกูลที่ลูกหลานมักจะเป็นจอมเวทย์เท่านั้น โดย prologue ของเรื่อง จะเริ่มที่ช่วงเวลาเดียวกับเหตการณ์ในภาคแรก ก็คือช่วงที่เมือง lothering ถูกกองทัพ Darkspawn บุกทำลาย และตัวเรากำลังพาคนในครอบครัวหนีออกมาจาก lothering ไปยังเมือง Kirkwall ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยต่อไปตลอดจนจบเกม
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็จะเน้นไปทื่เรื่องราวภายในเมือง Kirkwall เป็นหลัก ซึ่งก็จะเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง Magi และ Templar เป็นหลัก และยังมี Qunari มาร่วมวงเป็นฝ่ายที่ 3 ที่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากขึ้นไปอีก ซึ่งต้องถือเป็นเรื่องถนัดของ BioWare ที่มักจะชอบแต่งเนื้อเรื่องของเกมให้มีการเมืองภายในหนักๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นเนื้อเรื่องหลักจริงๆ ของภาคนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Darkspawn โดยตรงทำให้บางคนอาจจะตั้งแง่ว่าความยิ่งใหญ่ของเนื้อเรื่องเทียบกับภาคที่แล้วไม่ได้ในแง่ความฉิบหายของมนุษยชาติ แต่บทหลักๆ ของเรื่องภาคนี้ก็มีความเข้มข้นไม่แพ้ภาคที่แล้วเช่นเดียวกัน และในจุดจบของภาคก็เป็นการปูพื้นถึงความวิบัติที่อาจจะยิ่งใหญ่ภาคที่แล้วก็เป็นได้
อย่างไรก็ดีในตอนจบกลับไม่ได้มีการสรุปเรื่องราวต่างๆ เหมือนอย่างที่ภาคแรกทำ โอเคว่า อย่างน้อยๆ เราก็พอรู้ละว่า Hawke ในตอนจบตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน แต่เพื่อนเราละ ตกลงชะตาชีวิตแต่ละคน มันเป็นยังไง หรือว่าจะต้องรอภาคเสริมกันอีก มันก็เลยทำให้สุดท้ายแล้วไอ้สิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำลงไปในภาคนี้มันไม่รู้ว่าส่งผลอย่างไรกับตอนจบบ้าง (ได้ยินมาว่าตอนจบภาคนี้จะมีเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้น) เมื่อเทียบกับภาคแรก Dragon Age Origin (DAO) และ DAO: Awakening (DAO:A) ทั้ง 2 มีการสรุปถึงผลกระทำต่างๆ ของเราสะท้อนออกมาตั้งแต่สภาพเมืองต่างๆ ที่เราไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ไปจนถึงความเป็นความตายของตัวละครบางตัว และทำให้รู้ว่าไอ้บางอย่างที่เราคิดว่ามันถูกต้อง มันกลับกลายเป็นจุดจบที่ไม่สวยในตอนหลังนัก มันก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดในใจเป็นอย่างมากว่าที่ตรูกำลังเล่นนี้มันไม่จบจริงๆ นิหว่า (สราดดดดดดดดด)
ภาพ
ในความรู้สึกส่วนตัวก็มีทั้งจุดที่ดีกว่าและจุดที่แย่กว่าปนๆ กันไป อย่างแรกก็ต้องบอกว่า ตัวละครต่างๆ ในภาคนี้นั้นทำออกมาได้ดีมาก ถึงผมจะไม่สามารถปั้นหน้าตัวละครให้พอใจได้เท่าภาคแรกก็ตาม…. แต่ npc หลายตัวจากภาคแรกและภาคเสริมถูกนำกลับมาใช้ต่อ และรีเมคจนจำไม่ได้ (ในทางที่ดีขึ้นมาก) เช่น
Isabela อีป้าโจรสลัดหน้าตาเหี้ยมเกรียม ที่เป็นคนสอน duel wield ให้กับเราในภาคที่แล้ว โดยมีเงื่อนไขคือเล่นไพ่โป๊กเกอร์ให้ชนะ (หรือไปขึ้นเตียงกับป้า และถ้าเลือกเพื่อนมาถูกก็อาจจะมีการร่วมแจมจนกลายเป็น 3 some ไปจนถึง 4 player ได้…)
ก็ถูกอัปเกรดกลายมาเป็นตัวละครที่เราสามารถเอามาเป็นพวกได้ในภาคนี้ …คนเดียวกันแน่เหรอวะ!
ในขณะที่ตัวละคร npc ที่เป็นเพื่อนเราดูดีขึ้นมากนั้น บางอย่างกลับดูแย่ลงเช่น texture ของเสื้อผ้าเสื้อเกราะต่างๆ จนถึงสภาพแวดล้อม แต่ตัวบรรยากาศของเกมโดยรวมก็มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว ก็ถือว่าเจ๊ากันไปได้
แต่ดันเจี้ยนต่างๆ ของเกมนี้ต้องจัดว่าเข้าขั้นเลวร้ายจนถึงบัดซบ เนื่องจากเกมนี้มีการ reuse ดันเจี้ยนมากถึงในขั้นที่ว่าเล่นเพียงแค่ 1 ใน 3 ของเกม ก็เห็นเกือบครบทุกอย่างแล้ว ซึ่งการ reuse นี้ไม่ใช่การ reuse ในลักษณะที่ว่า เป็นสถานที่เดิมแต่เปลี่ยนเควสเปลี่ยนเนื้อเรื่อง หรือเป็นเควสต่อจากเควสเก่าเท่านั้น แต่มันถึงขั้นว่ายกเอาดันเจี้ยนเดิมทั้งอัน ไปตั้งไว้ในที่ใหม่เลยทีเดียว
บ้าน 2 หลังในเมืองเดียวกันมีเลย์เอาท์แบบเดียวกัน พอยอมรับได้
ถ้ำมีหน้าตาเดียวกันตลอดทาง แต่เลย์เอาท์ของแต่ละถ้ำไม่เหมือนกัน พอยอมรับได้
แต่ไอ้การที่ถ้ำ 2 ถ้ำคนละสถานที่ มีเลย์เอาท์และหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ต่างกันตรงทางเข้าทางออก และประตูที่เปิดได้กับประตูที่เปิดไม่ได้ นี่ผมว่ามันยอมรับไม่ได้หวะ คือมันไม่ใช่ถ้ำเล็กๆ ที่เข้าไปสู้ศัตรู 1 ฝูงแล้วก็เดินออกมา แต่มันเป็นถ้ำที่โคตรยาว (แต่ไม่ซับซ้อน) มีเดินขึ้นเดินลง มีบอส มันจะถูกเอาไปใช้มากกว่า 2 ครั้ง (บางดันเจี้ยน อาจจะถูกใช้มากกว่า 5 ครั้งขึ้นไปด้วยซ้ำ)
ให้ตาย… ก็ว่าเกมตีเต่าว์ ที่มีดันเจี้ยนยาวเป็นเส้นตรงมันเลวร้ายแล้วนะ แต่ไม่คิดเลยว่าค่ายเกมอย่าง BioWare ก็จะเลือกใช้วิธีแบบนี้กับเกมของตัวเองในระดับที่เลวร้ายพอๆ กับเกมตีเต่าว์ด้วย
ระบบต่อสู้
ระบบสร้างตัวละครยังคงเลือกได้ 3 คลาสเช่นเดียวกับภาคที่แล้วคือ วอริเออร์ โร้ค และ เมจ แต่เราจะไม่สามารถเลือกเผ่า หรือชาติกำเนิดเหมือนอย่างภาคที่แล้วได้ ดึงนั้นภาคนี้ prologue จะมีเพียงแบบเดียวเท่านั้น (เป็นที่มาว่าทำไมคำว่า Origin หายไปจากชื่อของเกม)
ระบบต่อสู้ในภาคนี้ ต้องยอมรับว่าทำมาเล่นได้สนุกและรวดเร็วกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็แลกมาด้วยการที่เกมมันหั่นอะไรออกไปหลายๆ อย่างจากภาคที่แล้วเยอะมากเช่นเดียวกัน อย่างแรกก็คือสำหรับ PC มันไม่มีโหมดมุมมองจากด้านบนอีกต่อไปแล้ว การวางแผนต่างๆ ก็เลยทำได้ลำบากขึ้นเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ในตอนแรกของการเล่น
สิ่งที่ได้จะพบเจอในภาคนี้คือฝูงศัตรูที่พากันกรูเข้ามาราวกับว่ามีโคลนนิ่งหรือลูกหลานมากมาย (วิ่งๆ เจอศัตรูด้านหน้า ฆ่าเกือบหมดมี wave 2 ตลบหลัง ฆ่า wave 2 เกือบหมดเจอ wave 3 มาพร้อมหน้าพร้อมหลัง !@#$) ซึ่งผมคิดว่า ปริมาณศัตรูในภาคนี้มันเกินความพอดีไปหน่อย การปรากฏตัวออกมาก็มักจะมาแบบไม่มีเหตุผลสักเท่าใดอยู่ดีๆ อยากจะโผล่ก็โผล่ แต่ก็ยังดีว่าหลักจบการต่อสู้ทุกครั้งพลังของพวกเราก็จะกลับมาเต็มทันที
ผมเริ่มเล่นเกมในระดับความยาก hard หรือระดับ 3 จาก 4 ด้วยความคิดที่ว่าเคยเล่นภาคแรกมาแล้วและภาคนี้มันคงไม่ต่างกันมากนัก ก็เลยอยากลองท้าทายดูเล็กน้อย ซึ่งในระดับนี้ผมเคยพลาดตายยกปาร์ตี้ในลักษณะที่ว่า หลังจากเอาตัวรอดจากฝูงศัตรูที่ไม่สามารถนับปริมาณได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีพลังเหลือพอที่จะฆ่านักธนูที่ยืนโด่เด่ๆ อยู่ตัวเดียวเป็นตัวสุดท้ายได้และพ่ายไปในที่สุด (ซึ่งหลังจากโหลดเซฟ ผมก็ปรับไปเป็นง่ายสุดและเล่นผ่านช่วงนั้นมาได้อย่างง่ายดาย… และปรับกลับไปเป็น Hard ใหม่)
แต่เมื่อเล่นไปสักพักราวๆ กลางๆ Act 2 ในที่สุดผมก็เริ่มตระหนักได้ว่า แทนที่จะต้องมานั่งเสียเวลากด space bar เพื่อหยุดเกมแล้ววางตำแหน่งตัวละครแต่ละตัวให้ยืนถูกตำแหน่ง เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากฝูง wave ของศัตรู ด้วยมุมกล้องด้านหลังตัวละครและไม่สามารถย้ายโฟกัสห่างออกจากตัวละครได้ ในดันเจี้ยนเดิมที่ถูกเอามา reuse เป็นครั้งที่ล้าน… ตรูขอปรับความยากเป็นง่ายสุดแล้วเล่นเดินหน้าฆ่ามัน เพื่อเสพเนื้อเรื่องอย่างเดียวดีกว่า….. (เผื่อคนสงสัย ผมไม่สามารถฆ่าบอส Act1 ในระดับความยาก Hard ได้เพราะหมดความอดทนก่อน เลยปรับลงมาเหลือ Normal และผ่านไปอย่างง่ายดายได้ในที่สุด)
แต่ยังไง DA2 ก็เป็นเกมที่มีบอสที่ต้องใช้แทคติกสู้ และสนุกในขั้นที่ราวกับว่าเล่น MMORPG อย่าง World of Warcraft อยู่ยังไงยังงั้น
การปรับแต่งตัวละครในภาคนี้ถูกหั่นระบบต่างๆ ออกไปเยอะมาก ตัวละครจะมีเพียงแต่ Stats พื้นฐานและ ability tree เท่านั้น มันก็เลยส่งผลทำให้ Dialog บทพูดของภาคนี้ไม่อิงกับ Stats ของตัวเราด้วย และการแก้กับดักต่างๆ ในเกมก็จะอิงกับค่า stats (cunning) แทน ก็ไม่รู้จะเรียกว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะมันถูกทำให้เรียบง่ายขึ้น แต่ขาดเสน่ห์เดิมๆ ของตัวเกมไปหมด
ชุดเกราะต่างๆ จะถูกกำหนดค่า stats ที่ต้องการเอาไว้ 2 ค่าและตายตัวมากเช่น เกราะสำหรับ warrior จะต้องการ STR และ CON เกราะโร้คก็ DEX CUN ส่วนเมจคือ INT WIS ฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เราสามารถเปลี่ยนเกราะได้เฉพาะตัวเราเท่านั้น ส่วนเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นๆ จะไม่สามารถเปลี่ยนชุดเกราะแต่จะใช้วิธีการอัปเกรดชุดเกราะเอาแทน นั่นแปลว่าสิ่งที่ตามมาคือไอเทมขยะมหาศาลที่เก็บมาได้แล้วไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรใด้ต้องขายทิ้งอย่างเดียว เพราะเราจะต้องอัปค่า Stats ของเราเพียงแค่ 2 ค่าเพื่อที่จะได้ใส่เกราะที่ตรงสายและดีที่สุดในตอนนั้นได้เสมอ
ผมมีชุดเกราะ Blood Dragon Armor เป็นโบนัสจาก DAO ซึ่งเป็นเกราะนักรบ
ผมมีชุดเกราะ Isaac เป็นโบนัสจากที่ซื้อเกม Dead Space 2 ซึ่งเป็นเกราะโร้ค
แต่ผมเล่นเมจ และไม่สามารถใส่เกราะทั้ง 2 อันที่กล่าวมาได้ ชุดเกราะทั้งสองก็เลยนอนอยู่ในหีบที่บ้านของตัวเราอย่างสงบเพราะไม่สามารถให้เพื่อนคนอื่นใส่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ฮ้วย…………..
สรุป
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด Dragon Age 2 คงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของ Dragon Age Origin ได้ เหมือนอย่างที่ BioWare ได้กล่าวไว้ว่า Dragon Age Origin เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของ Baldur Gate
ถ้าไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ของ Dragon Age Origin และ Baldur Gate ผมว่า Dragon Age 2 ก็เป็นเกมที่ดีเกมหนึ่งแต่คงไม่ถึงกับขั้นยอดเยี่ยม (ผมให้ความประทับใจติดลบกับดันเจี้ยน reuse มากที่สุด แต่ให้บวกกับการพยายามทำให้เพื่อนในกลุ่มดูมีเอกลักษณ์มากที่สุด)
ถ้าคุณมีเกม Dragon Age Origin อยู่ในดวงใจ บูชา Torment เป็นศาสดา มี Baldur Gate เป็นพระเจ้า Dragon Age 2 คงเป็นปีศาจ ซาตาน นอกรีตสำหรับคุณ
ปล. ผมจะรอดู Skyrim ว่าจะทำได้ดีกว่า DA2 หรือไม่ (ว่าแต่มันจะออกปีนี้รึเปล่าวะ…)
ปล2. รูปภาพ Isabela จาก dragonage.wikia.com ครับ