บ่นๆ Dragon Age 2 หลังเล่นจบ (รีวิว)

Dragon Age 2 ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 8 มีนา 54 ที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ได้นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนเมื่อวันเสาร์ทีผ่านมานี้ (12 มีนา) ก็เล่นจบจนได้โดยวัดเป็นเพลย์ไทม์ทั้งหมดน่าจะราวๆ 35 ชั่วโมง และก็เกิดความรู้สึกคันปากอยากบ่นแต่ไม่รู้จะบ่นกับใครดี จะบ่นกับเพื่อนมันก็ยังเล่นไม่จบเดี๋ยวหาว่าไปสปอยมัน ก็มาเขียนบ่นในนี้ละกัน

Read more

Mass Effect 2 (minor spoil)

me2 _logo

ช่วงนี้ BioWare มาแรงจริงๆ

เมื่อปลายปีที่แล้วก็ส่ง Dragon Age Origin มาสะเทือนวงการเกม RPG ฝรั่งไปรอบนึง

มาปลายเดือนมกราที่ผ่านมาก็ส่ง Mass Effect 2 ถล่มซ้ำ ที่ตอนนี้ยอดขายทะลุ 2ล้านชุดไปเรียบร้อย

แถมยังประกาศภาคเสริมของ Dragon Age Origin แบบสายฟ้าแลบเมื่อกลางเดือนที่แล้วอีก

แต่อันนี้ ผมว่าจริงๆ แล้ว BioWare มันต้องคิดพล็อตรอเอาไว้ก่อนปล่อยเกมภาคแรกออก มานานมากๆ แน่ๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถวางแผนออกภาคเสริมได้เร็วขนาดนี้หรอก ปรกติเกมภาคเสริมรอกันเป็นปี นี่รอไม่ถึงครึ่งปี

หรือว่าระบบทุนนิยมของ EA จะเข้าครอบงำ BioWare ไปหมดแล้ว ดูจากวิธีการขาย DLC ของ DragonAge ก็ได้ ถึงกับส่ง NPC ไปเป็นนายหน้าขาย DLC ในเกม นับเป็นเกมแรกเลยที่ใช้วิธีการโฆษณาขาย DLC แบบนี้

….เอ่อ ถึงจะบ่นหยังงั้น หยังงี้ ถ้า DAO: Awakening ออกผมก็เล่นอยู่ดีละครับ (อ่าว… เรียก ซึนเดเระ ได้ไหมนี่)

 

กลับเข้าเรื่องกันนิดนึง ถึงตอนนี้หลายๆ คนคงเล่น Mass Effect 2 จบไปกันบ้างแล้ว ผมเองก็จบแล้วเช่นกันด้วยระยะเวลา 22 ชั่วโมงเศษๆ มุ่งแต่ main quest ทุกเควสให้ครบ ไม่ไปแสกนดาวหาเควสเพิ่ม เพราะขี้เกียจ และต้องรีบทำเวลา ก่อนจะไม่มีเวลาเล่นเกมในเดือนนี้

สิ่งที่รู้สึกได้จากภาคนี้คือ อย่างแรกพบว่าเกมเน้นไปทาง แอกชั่น มากขึ้นเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว (ขอสารภาพว่าภาคที่แล้ว ตอนแรกผมเล่นได้แค่แปบเดียวก็ต้องปิดทิ้ง เพราะรู้สึกมันไม่ใช่ อย่างแปลกๆ แต่ก็มีอะไรดลใจให้หยิบกลับมาเล่นใหม่เมื่อครึ่งปีหลังของปีที่แล้วนี่เอง)

แต่มันก็ยังไม่ใช่เกมแอกชั่นจริงๆ อย่าง Gear of War หรือแนวที่คล้ายๆ กัน ระบบหลายๆ อย่างมันก็ยังทิ้งความเป็น RPG ไม่พ้นสักเท่าไหร

ที่แน่ๆ การที่ไม่สามารถทำ Blind Shot ได้ (ยิงจากที่กำบังโดยไม่หันหน้าออกมาเล็งเป้า) มันทำให้รู้สึกขัดใจมากเลยทั้งๆ ที่เกม FPS, TPS ที่มีแอบหลังกำแพงทั่วไปสามารถทำ Blind Shot ได้หมด (อ่าวแล้วเมื้อกี้เพิ่งบอกว่ามันก็ยังเป็นเกม RPG อยู่ดี)

แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่ตัวละครไม่มีค่าพลังความถนัดอาวุธที่ส่งผลกับความแรงและความแม่นของปืนแล้วมันทำให้เกมสู้มันส์ขึ้นเป็นกองเลยครับ

กลับกัน ด้านเนื้อเรื่อง ในภาคนี้ หากตัดเควสของเพื่อนออกให้หมด จะเหลือเนื้อหาที่เป็น เมนเควส อยู่จึ๋งเดียวเอง และด้วยจำนวนเพื่อนที่มากกว่าภาคที่แล้วเกือบเท่าตัว แต่บทพูดกลับทำให้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านั้นมีความลึกตื้นหนาบางน้อยมากเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว และเทียบไม่ได้เลยกับ DAO ที่เพิ่งออกไป หากใครเล่น DAO คงจะเข้าใจถึงบรรยากาศที่เราคุยกับเพื่อนเราในแค้มป์ได้ดี

สรุปว่าความเข้มข้นของเนื้อเรื่องในภาคนี้ ผมว่าด้อยลงไปพอสมควร  แต่ประเด็นของเนื้อเรื่องมันก็ยังน่าติดตามอยู่ดี และยังดีที่เพื่อนของเราถูกเขียนบทมาบุคลิกและเนื้อเรื่องพื้นหลังแตกต่างกันมาก ดังนั้นในแง่ความหลากหลายของตัวละครยังคงมีอยู่ แต่ความหลายในด้านประโยชน์ใช้งาน อาจจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร

และอีกเรื่องการสำรวจดวงดาวต่างๆ ภาคนี้เปลี่ยนจากการที่เราขับรถลงไปสำรวจด้วยตัวเองมาเป็นแสกนดวงดาว แล้วยิง probe ลงไปบนดวงดาวเพื่อเก็บทรัพยากร หรือยิง prob นำร่องไปยังจุด anomaly  ก่อนจะลงไปสำรวจด้วยตัวเอง

เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ว่าแบบไหน ระดับความเลวร้ายก็พอๆ กันคือ มันเป็นอะไรที่ repetitive เอามากๆ และมันจะสนุกอยู่แค่ช่วงแรกช่วงเดียว หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นความน่าเบื่ออันไม่มีที่สิ้นสุดแทน

จุดแตกต่างคือถ้าเป็นพวกชอบลงไปขับรถเล่นในดวงดาว หรืออยากเห็นอะไรกว้างๆ ก็อาจจะชอบแบบภาคแรกมากกว่า แต่ถ้าเป็นพวกชอบแบบ get to the point มุ่งไปที่ประเด็นอย่างเดียวก็จะชอบแบบภาคสองมากกว่า

สุดท้าย BioWare ยังคงยัดมุขมาเต็มที่เช่นเคย เท่าที่เล่นแล้วเจอด้วยตัวเองก็มีราวๆ นี้

มุขเกี่ยวกับญี่ปุ่น

  • ร้านขายเกมใน Citadel ที่ Import เกมมาจาก Shin Akiba
  • เกมที่มันขาย คุ้นๆ ว่ามีเกมชื่อ Galaxy Fantasy อะไรสักอย่างที่เป็น MMORPG ด้วย
  • มีตัวละครพูดถึงราเมงจากโลกใน Citadel (ไม่รู้จะเกี่ยวกับ galaxy express 999 ไหมเพราะเรื่องนั้นก็ชอบมีพูดถึงราเมงสุดอร่อยในตำนานจากโลกเหมือนกัน)
  • มีร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย (แต่เราคุยอะไรกับร้านนั้นไม่ได้)

มุขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับญีปุ่น

  • หนูแฮมสเตอร์อวกาศ คาดว่าจงใจอ้างอิงถึง หนูแฮมสเตอร์ใน Baldur Gate ที่ชื่อ บู ซึ่ง มินซ์ เจ้าของ บู เคยพูดว่า บู เป็น space hamster
  • มี NPC บ่นว่า “แย่ที่สุด เวลาพวก บาตาเรียน เข้ามาเล่นเกมกับเรา แล้วไม่ยอมพูดภาษากลาง ไปพูดภาษา บาตาเรียน ด้วยกันเอง” (มันแอบกัดประเทศประเทศสารขัณฑ์ แถวๆ นี้เปล่าวะเนี่ย)
  • ตัวละคร….สักตัว อยู่ดีๆ ก็จำชื่อไม่ได้ ที่แต่งตัวเลียนแบบเรา และกำลัง ส-ใส่-เกือก เรื่องชาวบ้านไปทั่ว เมื่อเราคุยกับมัน และถามว่า  แต่งตัวเลียนแบบเราทำไม มันก็จะตอบมาราวๆ ว่า “เรากำลัง ออกเดินทางไปทั่วจักรวาล และคุยกับคนต่างๆ เพื่อดูว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร ที่เราจะช่วยเหลือได้ตางหาก, บางครั้งก็ทุบลังข้างทางนิดหน่อย เผื่อว่าจะมีเงินหล่นให้เก็บ” (ครือ… เอ็งกำลังจะบอกอะไรสักอย่างกับตรูรึเปล่า….)

…แน่นอนว่าเกม RPG ของ BioWare เกมไหนไม่มีขึ้นศาล มานั่งชี้หน้าใส่กันตะโกน Objection จะผิดวิสัยของ BioWare มาก (เอ่อ… เอาจริงๆ  มันคงไม่ถึงขั้นชี้หน้ากันหรอก) Mass Effect 2 ก็ยังคงมีอยู่เช่นเคย ถึงมันจะไม่ได้เป็น เมนเควส ที่บังคับเล่นก็ตาม

ปล. ภาคผมนี้ใช้แต่ ทาลิ กับ แกรัส ครับ เอาแต่มนุษย์ต่างดาวลงเนี่ยแหละ ( ‘ ‘)
มิรัลด้า ในเกมหน้าเป็นป้าอ้วนเกินไปหน่อย Art work ออกจะดูดีแท้ๆ
กรันท์ ใช้บ้าง ชอบตัวละครลักษณะนี้เป็นการส่วนตัว แต่ที่ไม่พอลง ดังนั้นก็อยู่เป็นทีมสำรองไปซะ

จาคอบ, ซาอีด, แจ๊ค ไม่เคยมีความคิดที่จะเอาลงทีมแม้แต่เศษเสี้ยวในกบาลเลยครับ เหม็นขี้หน้าหมดทั้ง 3 ตัว
และ มอริน นี่ไม่ไหวที่สุดแล้ว พูดด้วยภาษาที่อ่านแล้วปวดกระบาลเอามากๆ

ปล2. เล็ง romance กับ ทาลิ แท้ๆ แต่ดันทำเควสไปๆ มาแล้วทิ้งแฟนเก่าไม่ลงเลยไม่เห็นบท romance ไปซะงั้น ( ._.)
ปล3. ขออภัยถ้า เอนทรี่นี้อ่านแล้วมึนๆ เพราะรู้สึกคนเขียนก็มึนๆ เหมือนกัน บวกกับเมื่อวานดันตื่นมากลางดึกแล้วนอนต่อไม่หลับจนถึงเช้าเลย

Dragon Age Origin กับเกม RPG ยุคเก่าๆ

หลายปีแล้วครับ ที่ไม่ได้เล่นเกม RPG ฝรั่ง ที่มีเนื้อหาลึกและจริงจังรวมทั้งรู้สึกว่าตัวเราเองอยู่ในเกมนั้นจริงๆ นับตั้งแต่ Baldur’s Gate 2 (BG2) มา

ว่ากันซื่อๆ ถ้าไม่นับ Dragon Age Origin (DAO) เกมก่อนหน้าอย่าง Never Winter Night 2 (NWN2) ก็ยังตอบโจทย์เกม RPG อย่างที่ผมอยากจะเล่นได้ไม่เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเกมมันไม่ดี แต่เกมมันยังขาดๆ อะไรไปบางอย่าง หรือ NWN ภาคแรกนั้นยิ่งแล้วไปกันใหญ่ เพราะกลายเป็นเกมที่เราบังคับเพียงแค่ตัวเดียวลุยดันเจี้ยนคนเดียว (ถ้าหากเล่นคนเดียว ไม่ได้เล่น multiplayer กับคนอื่น) ซึ่งมันผิดธรรมชาติของเกมแนว D&D มาก

bgbox

เกม RPG ฝรั่งเกมแรกที่ผมเล่นแล้ว รู้สึกร่วมไปกับตัวเกมจริงๆ ก็เห็นจะไม่พ้น Baldur’s Gate 1 นั่นนะแหละครับ แต่ด้วยความว่าอะไรสักอย่าง… ผมจำได้ว่าเล่นภาคนั้นไม่จบทั้งๆ ที่เล่นจนไปถึงเมือง Baldur’s Gate แล้ว และไม่มีโอกาสได้เล่นภาคเสริมที่ชื่อ Tales of the Sword Coast ด้วย (เกิดไม่ทันยุค Fallout 1,2 ครับ… ขอโทษด้วย)

256px-Planescape-torment-box

แต่ไม่กี่ปีถัดมา ค่าย BlackIsle ก็ได้ปล่อยผลงานระดับ master piece ชิ้นถัดมานั่นคือ Torment ซึ่งเป็นเกมแนว D&D เหมือนกันแต่ยืนพื้นบนโลกPlane Scape แทนที่จะเป็นโลก Forgotten Realm ว่ากันตรงๆ โลก Plane Scape ดูจะมีเสน่ห์มากกว่าโลก Forgotten Realm อีกในความคิดผม แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เลยมีเกมนี้เกมเดียวที่ใช้โลก Plane Scape เป็นแบ็กกราวน์

จุดแตกต่างระหว่าง Plane Scape กับ Forgotten Realm ก็คือ Plane Scape จะมีบรรดาตัวละครที่พิลึกพิลั่นกว่า ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแสนดีของตัวเอก (Nameless One) ที่ชื่อ Morte ที่เป็นหัวกะโหลกลอยได้ หรือ หุ่นยนต์ Mordon ที่ใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ และบรรดาเมืองในเกมก็ออกจะพิลึกไม่แพ้เช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับ Forgotten Realm แล้วก็จะเป็นแฟนตาซี แบบที่ดูจริงจังกว่า และธรรมดากว่าด้วยเช่นกัน

BGIIbox BGIIToBBox

อย่างไรก็ดี เมื่อการเดินทางของเหล่าลูกๆ ของ Baal ใน Tales of the Sword Coast ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด Bioware/Black Isle ก็ได้ปล่อยภาคต่อของ BG อีกครั้งในชื่อ Baldur’s Gate 2: Shadow of Amn และภาคเสริมซึ่งเป็นบทสรุปของการเดินทางในชื่อ Throne of Bhaal แน่นอนว่าดังเป็นพลุแตกในสมัยนั้น ไม่มีเกม RPG เกมไหนที่จะทำเนื้อเรื่องได้อย่าง BG2 แล้ว

แต่ เป็นที่น่าเสียดาย… อย่างยิ่ง เมื่อค่ายแม่ของ Black Isle ในตอนนั้นที่ชื่อ Interplay ดันมีอันเป็นไปซะก่อน ตำนานของ Black Isle ก็เลยจบลงไปด้วย แต่ยังดีที่เหล่าทีมงานของ Black Isle ยังรวมตัวกันใหม่ได้กลายเป็น Obsidian ในเวลาถัดมา ส่วนทางค่าย Bioware เป็นผู้พัฒนาหลักของ Baldur Gate ก็ย้ายไปซบอก Atariให้เป็นผู้จัดจำหน่ายเกมแทนอยู่สักพักใหญ่ๆ จนปัจจุบันโดน EA ซื้อไปอย่างที่รู้ๆ กัน (แสรดดด กรูเกลียด EA t= =t)

ในตอนแรกผมเอง ก็เฉยๆ กับ DAO แต่พอได้ยินว่าเกมนี้จะเป็นตัวแทนและเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของ Baldur’s Gate นั่นทำไมผมสนใจ DAO ขึ้นมาทันที

รูปเสีย

Dragon Age Origin เป็นเกม RPG แนว Dark Fantasy (หรือ Fantasy แนวจริงจัง ที่ไม่ได้ขายความโมเอะอย่างการ์ตูน Fantasy ญี่ปุ่นแต่อย่างใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพบมาในเกม BG2 นั้นมีอยู่ใน DAO หมด มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเดิมๆ สมัยกราฟฟิค 2 มิติ แต่มันถูกพัฒนาถ่ายทอดออกมาเป็น 3 มิติได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่ชอบ NWN เพราะเทคโนโลยี 3D ในตอนนั้นยังมีความสามารถไม่พอที่จะถ่ายทอดอะไรหลายๆ อย่างออกมาได้) และมีเนื้อหาที่จริงจัง เต็มไปด้วยตัวเลือก ทั้งซีเรียส ปนฮา และเลือกไม่ถูก ทางเลือกหลายๆ ทางอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ผู้เล่นมีสิทธิ์เต็มที่ ในการกำหนดทิศทางของตัวเกมในมุมมองของผู้เล่นเองเช่นเดียวกับเกมก่อนหน้านี้ ของ Bioware เอง และตัวเลือกเหล่านี้ที่เราเลือกไปจะมีผลในตอนจบเป็นข้อความบรรยายเหตการณ์ หลังจากนั้นว่าใครทำอะไรต่อ และเกิดอะไรขึ้นบ้าง

รูปเสีย

ซึ่งผมพบว่าตอนจบที่ ผมเล่น มันไม่ได้สวยหรูไปทุกอย่างอย่างที่ผมคาด หรือมุมมองของผู้เล่นที่อยากจะเล่นเป็นคนดี (เล่นรอบแรกขอเล่นเป็นคนดีไว้ก่อนครับ… รอบสอง รอบสาม ถ้ามีโอกาสจะเล่นชั่วแค่ไหนเดียวค่อยว่ากัน) แก้ปัญหาทุกอย่างตามมุมมองของคนดีแต่ปัญหาบางอย่างกลับเลวร้ายกว่าเดิม

หรือ ตัวละครบางตัวที่ในสายตาตอนแรกมันเป็นคนที่น่าฆ่าทิ้งมากๆ… แต่เมื่อเล่นๆ ไปกลับพบว่ามุมมองของตัวละครตัวนี้ มีอะไรบางอย่าง ที่เราไม่คาดคิด (แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวในเกมจะเป็นแบบนี้)

เช่น เดียวกับ BG2 ในตอนจบที่สรุปเรื่องราวของพวกเราแต่ละคนหลังจากจบเกม หลายๆ คนเรื่องราวก็จบไม่สวยเท่าไหร่ แต่มันก็ดูมีเหตุผล และจริงจังในตัวของมันเอง

ทั้ง นี้ทั้งนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับผู้เขียนบทต่างๆ ที่ใส่ตัวเลือกมาให้เรามากมาย แม้ว่าหลายๆ ตัวเลือกจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกัน แต่มันช่วยสร้างความรู้สึกได้ว่า เราเป็นตัวละครในเกมจริงๆ เราเป็นผู้ตอบคำถามจริงๆ (ไม่ใช่ Yes No Ok อย่างเกมอื่นๆ)

ปล. ตัวละครตัวที่ผมชอบมาใน DAO คือ Shale ครับ

รูปเสีย

Shale เป็นโกเลม (สปอยเล็กน้อย) แต่ถ้าเป็นโกเลมที่ไร้อารมณ์ เชื่อฟังเจ้านายทุกอย่าง อย่างที่มันควรจะเป็น ก็คงจืดชืดไปหน่อยคนแต่งบทเลยจัดแจงใหม่

กลายเป็น โกเลม เจ้าอารมณ์ ที่เกลียดนก และสัตว์มีปีกทุกชนิดเป็นชีวิตจิตใจ

เพราะหลายปีที่ต้องยืนนิ่งๆ ไม่สามารถขยับไปไหนมาไหนได้ในหมู่บ้านเพราะโดนเจ้านายคนเก่าปิดการทำงานเอาไว้

ชาวบ้านชอบเอาอาหารนกมาโปรยไว้ใกล้ๆ Shale

นก ก็เลยขี้รด Shale มาตลอด… ก็เลยเป็นโกเลมที่เกลียดนกเข้าไส้… จนเข้าขั้นจิตตก ได้ยินเสียงนกร้องเป็นไม่ได้ ต้องหันควับไปหา … และเหยียบทิ้ง

รูปเสีย

และยังชอบบดขยี้สิ่งมีชีวิตด้วยความสะใจในอารมณ์

แถมท้าย

ชุด Collector ของ Baldur’s Gate 2

IMAG0007

IMAG0008

เทียบกะชุด Collector ของ Dragon Age Origin

IMAG0004

… ความขลังต่างกันเห็นๆ เลยฟระ orz ทำไมเกมสมัยนี้ชอบให้เป็น digital content กันจังวะ