ระบบสุริยะในมุมมองของ artist

มีเว็บมาแนะนำครับ

ช่วงสมัยเรียน ป.ตรี ผมมีเว็บของ Artist อยู่คนนึงที่ชอบมาก คอยติดตามอยู่ทุกเดือนว่าจะได้เห็นภาพอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เขาคือ Greg Martin  หรือ http://www.artofgregmartin.com/ ซึ่งในระยะหลังเอง ก็มีพวกภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ เพิ่มเข้าไปด้วย

เมื่อวันที่ 30 เดือนที่ผ่านมาทางเว็บไซต์เองได้เปิดตัวเว็บใหม่ชื่อ

http://www.experiencetheplanets.com/

เป็นการร่วมมือกันของ Artist หลายๆ คนช่วยกันรังสรรค์ภาพดวงดาวในระบบสุริยะของเรา ในมุมมองของ Artist ต่างๆ กัน ลองแวะเข้าไปชมกันได้ครับ (ไม่มีค่าโฆษณาแต่อย่างใด)

ตัวอย่างภาพจากในเว็บ

etp_1etp_2

ปล. ลง Windows 7 เรียบร้อยแล้ว ( ‘ ‘)v
เท่าที่ดูก็ไม่แตกต่างจากรุ่น RC เท่าไหร จะบอกว่าใช้แล้วดีกว่า RC โคตรๆ ก็คงฟังดูตอแหลเกินไป
แต่วอลเปเปอร์ของตัวจริงนี่โลโก้วินโดว์มันแทงลูกตาดีจัง

w7

วอลเปเปอร์มาตรฐานของ windows 7

w7_tb

taskbar ปัจจุบันที่ยัดๆ เอาโปรแกรมไปปักหมุดไว้รัวๆ (เลิกใช้ quicklunch toolbar แล้ว)

Windows 7 ออกแล้วใน msdn

จริงๆ คงหลุดมาซํกพักใหญ่ๆ ในเว็บบิททอเรนท์ทั่วไปแล้วหละ แต่วันนี้เป็นวันเปิดให้ download อย่างเป็นทางการใน msdn ( ‘ ‘)

กำลังตั้งโหลดอยู่ ตื่นเช้ามาคงโหลดเสร็จพอดี แต่จะเอาเวลาที่ไหนมาลงดีละหว่า….

Full set Homam

blu1

เมื่อวานในที่สุดก็ได้ Homam ครบ 5 ชิ้นแล้ว เลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย *-*

blu2

แต่จริงๆแล้ว บลูเมจผม จะไม่ได้ใช้หัวกับตัว Homam หรอก จะใช้ชุดนี้เป็นชุดลุยหลักมากกว่า

ย้อนรอย 25 ปี MechWarrior (BattleTech)

เชื่อว่าหลายคนที่เคยเล่น MechWarrior มาอาจจะไม่รู้แบ๊กกราวน์ของซีรี่ยนี้ดีนัก เพราะตัวเกมในแต่ละภาคนั้น มักจะโฟกัสไปที่สมรภูมิได สมรภูมิหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงภาพรวมของจักรวาล BattleTech และ ไหนๆ ก็ไหนๆ เนื่องในโอกาสที่ MechWarrior ภาคใหม่ล่าสุด ได้เปิดตัว Trailer ไปแล้ว เลยถือโอกาศมาเล่ากันสักหน่อยว่า MechWarrior หรือ BattleTech นั้นคืออะไร

 

BattleTech

250px-FASA_Logo
BattleTech เป็นเกมกระดาน Wargame แบบตาราง 6 เหลี่ยมและ นิยายแนวไซไฟ  โดยบริษัท FASA Corps. ถือกำเนิดในปี1984 ปีนี้ก็ครบ 25 ปีพอดี (เกิดหลัง WarHammer 1 ปี) โดยเริ่มแรกนั้นชื่อ BattleDroid แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ BattleTech เนื่องด้วยในขณะนั้น LucasArt ถือสิทธิ์ของคำว่า Droid อยู่ และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้เล่น จนมี expansion pack ออกตามมาทีหลังมากมาย รวมทั้ง เทรดดิ้งการ์ด และ เกมคอมพิวเตอร์ ต่างๆ

madcatMkII
Mad Cat MkII รุ่นพัฒนาจาก Mad Cat หุ่นมาสค็อตประจำ BattleTech

ในยุคแรกๆ ของ BattleTech จะมีหุ่นอยู่จำนวนนึง ซึ่งก็อปปี้ดีไซน์ของมาครอสมา และอนิเมเรื่องอื่นๆ (กว่ามาครอสจะเข้าอเมริกาอย่างเป็นทางการในชื่อ Robotech ก็เป็นเวลา 1 ปีให้หลังหลังจาก BattleTech ออกวางขายไปแล้ว) ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดกรณีฟ้องร้องกันโดยเริ่มจากบริษัท การที่ FASA ฟ้อง Playmates ในข้อหา นำรูปภาพหุ่นยนต์ของ FASA ไปใช้โดยไม่ขออนุญาติ แต่นั่นทำให้ Playmates ฟ้อง FASA กลับว่า FASA เองก็นำเอารูปหุ่นยนต์มาจาก มาครอสเหมือนกัน

scr_title200scr_foundship200
ภาพจาก BattleTech:The Cresent Hawk เกมคอมพิวเตอร์เกมแรกสุดของ BattleTech (หน้าตาหุ่น ดูคุ้นๆ เนอะ)

ในเวลาต่อมา FASA จึงได้ตัดสินใจ วาดภาพหุ่นที่ลอกดีไซน์มาจากของคนอื่นใหม่ทั้งหมด หรือตัดหุ่นตัวนั้นๆ ทิ้งไปเลย และดีไซน์เดิมหรือดีไซน์ที่ลอกมา ให้จัดเป็น “Unseen” ไป เพื่อลดปัญหาช่องทางการโดนโจมตีจากบริษัทต่างๆ จนเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน 2552 หรือเดือนที่ผ่านมา ทาง Catalyst Game Labs ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์ของ BattleTech ในปัจจุบัน ได้จัดการเรื่องสิทธิ์ต่างๆ เรียบร้อยทำให้เหล่า “Unseen” สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง

191px-Loki191px-3025_warhammer
ซ้าย:Hellbringe(Loki)
ขวา:Warhammer
2ตัวที่เข้าใจว่ามาจาก Destroy – Tomahawk ของ มาครอส

ทางด้านผู้ถือสิทธิ์ของ BattleTech เองก็มีประวัติน่าปวดหัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะมีการเปลี่ยนมือไปมามาก เมื่อ MechWarrior 1 และ 2 Activision เป็นผู้ถือสิทธิ์ในการทำเกม แต่ MechWarrior 3 และ MechCommander กลายเป็นของ Micropose หลังจากนั้น FASA โดน ไมโครซอฟท์ ซื้อไป ทำให้ ไมโครซอฟ มีสิทธิ์ในการทำเกม MechWarrior 4 และ MechCommander 2 แต่สิทธิ์ของ paper & pen ยังเป็นของ FASA อยู่

ปี 2000 Jordan Wiseman 1 ใน 2 ผู้ก่อตั้ง FASA ได้แยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่ชื่อ WizKid ที่เน้นการทำ Miniatures เกมต่างๆ (ที่เห็นดังๆ ในบ้านเราพักนึงก็ Mage Knight จาก WizKid เนี่ยแหละ) แต่ในภายหลัง WizKid ก็ถูก Topps ซื้อไป ในปี 2003 และปิดตัวลงในปี 20008

ปี 2001 FASA ได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการและเกิดการโย้กย้ายลิขสิทธิ์ที่ FASA ถืออยู่กันอย่างวุ่นวาย BattleTech paper & pen ตกไปอยู่ในมือของ WizKid ซึ่งในภายหลัง WizKid ขายสิทธิ์ของ BattleTech ให้กับ FanPro LLC และ Catalyst Game Labs. ในเวลาต่อมา แต่ลิขสิทธิ์ของ MechWarrior ยังคงเป็นของไมโครซอฟท์อยู่ ซึ่งไมโครซอฟท์ ก็ไม่คิดที่จะทำอะไรกับ MechWarrior ต่อ จนเมื่อปี 2007 Jordan ได้ตั้งบริษัทใหม่ Smith & Tinker และประกาศว่า Smith & Tinker ได้สิทธิในการทำเกม MechWarrior จากไมโครซอฟกลับคืนมาบางส่วนแล้ว

256px-MechWarrior_2_cover256px-MechWarrior_2_GBL_cover256px-MechWarrior_2_Merc_cover

MechWarrior 2 ภาคที่ดังเป็นพลุแตก
Ghost Bear Legacy ภาคเสริมของ MW2
และ Mercenaries ภาค Stand alone ที่ใช้เอนจิ้นของภาค 2 ปรับปรุงใหม่ เป็น 1 ในภาคที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดของซีรี่ย์

สรุปเนื้อเรื่องคร่าวๆ

BattleTech ดำเนินเรื่องใน ปลายศตวรรต ที่ 20 จนถึงศตวรรตที่ 31 ว่าด้วยเรื่องของการเมือง สังคม เทคโนโลยี และการขยายตัวออกสู่นอกโลกไปยังดวงดาวต่าง ๆ โดยมี มนุษย์ เป็นเพียงเผ่าพันธ์อันทรงภูมิปัญญาเพียงเผ่าเดียวในจักรวาลของ BattleTech เท่านั้น แตกต่างออกไปจากนิยาย/เกม ไซไฟอวกาศในขณะนั้นที่ไม่ได้มีมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียว (เช่น StarWars, WarHammer40k, StarTrek etc.)

สงครามใน BattleTech นั้น นอกจากรถถังและเครื่องบิน ยังมีเหล่ารถถังเดิน 2 ขา หรือหุ่นยนต์ขนาดยักษ์ ที่ถูกเรียกว่า BattleMech โดยมีเหล่านักบินในชื่อเรียก MechWarrior เป็นผู้บังคับ ซึ่งมักจะเป็นกุญแจสำคัญในสงครามต่างๆ

The Inner Sphere

ในปี 2020 มีการวิจัยของเตาปฎิกรสำหรับ ยานอวกาศ ขนาดใหญ่โดยนักวิทยศาสตร์สองคน Thomas Kerny และ Takayoshi Fuchida  ต่อมาในปี 2027 ยานอวกาศที่ใช้เตาปฏิกรตัวนี้ Columbia ได้ออกเดินทางถึงดาวอังคารสำเร็จอันเป็นประวัติศาตร์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการขยายอนานิคมออกสู่นอกโลก

BT_Col

ปี 2102 นักวิทย์ศาสตร์ให้ความสนใจกับทฤษฎี pan-dimension gravitional mathematics ที่ 2 นักวิทยศาสตร์ Kerny และ Fuchida ได้ทิ้งเอาไว้ จนก่อกำเนิดเป็น ยานอวกาศลำแรกที่เดินทางเร็วกว่าแสงขึ้นมาภายใต้ Deimos Project โดยการสร้างประตูมิติ Space warp ทำให้ยานอวกาศสามารถทำการ Jump ได้ไกลถึง 30ปีแสง หลังจากนั้นปี 2108 Terra หรือโลก ก็ได้ส่ง JumpShip ลำแรกออกเดินทางระหว่าง Terra และ Tau Ceti System และอนานิคมแห่งแรกก็ถูกวางรกรากในดาว Ceti IV ในปี 2116

ความสามารถของการเดินทางระหว่างดวงดาวต่างๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้นทำให้เกิดการขยายอนานิคมไปสู่ดวงดาวต่างๆ อย่างรวดเร็ว ในปี 2235 กลุ่มพันธมิตรได้ทำการสำรวจดวงดาวต่างๆ และพบว่ามีมากกว่า 600 อนานิคม ที่มนุษย์ไปตั้งถิ่นฐานไว้ กระจายตัวกันวัดเส้นผ่านศูนย์กลางาได้ 80 ปีแสง และนั่นคือการกำเนิด Inner Sphere

แต่การขยายตัวที่รวดเร็วนั้นแฝงไปด้วยอันตรายจากการที่ไม่สามารถควบคุมอณานิคมที่อยู่ไกลออกไปจาก Terra ได้ทำให้หลายๆ อณานิคมพยายามจะประกาศตัวเป็นอิสระ บางอณานิคมก็ทำตัวเป็นกองโจรต่างๆ จนในที่สุดมีการรวบรวมกองกำลังเข้าด้วยกันก่อกำเนิดเป็น Star League ขึ้นมา เพื่อรักษาความสงบของ Inner Sphere

แต่ Star League เองใช่ว่าจะอยู่ยั่งยืน ปี 2751 Simon Cameron ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้น ตายอย่างกระทันหัน Richard Cameron ผู้เป็นลูกจึงขาดที่ปรึกษาและอาจารย์ Stefan Amaris 1 ใน ruler จึงได้เข้ามาแทนที่ และเป็นเพื่อนที่ดีต่อ Richard แต่นั่นเป็นเพียงหน้ากากบังหน้าเท่านั้น

ปี 2766 เกิดกบฎภายในขึ้นมา Amaris สังหาร Richard และยึดครอง Star League สำเร็จ แต่ไม่สามารถโน้มน้าว Aleksandr Kerensky ที่สังกัดหัวหน้าหน่วย Star League Defense Forces ให้เข้าเป็นพวกได้ เวลาต่อมา Kerensky และหน่วยรบของเขา ก็เข้าทำสงครามกับ Amaris เป็นเวลา 15 ปีจึงสามารถหยุดยั้งความบ้าคลั่งของ Amaris เป็นสำเร็จ และ Amaris กับคนสนิท รวมทั้งครอบครัว ถูกประหารในเวลาต่อมา

ปี 2780 Kerensky ถูกปลดจากตำแหน่งโดยสภา และสั่งให้สลาย SLDF เพื่อให้พักพ่อน แต่เหล่าผู้มีอำนาจที่เหลือต่างก็ต้องการขึ้นมาเป็นผู้นำ Star League แทนผู้นำคนเก่าที่ตายไป ทำให้ สภาถูกยุบลงในเวลาต่อมา และเหล่าผู้นำ ต่างกลับบ้านเกิดของตัวเอง รวบรวมกำลังต่อสู้กันเองอีกครั้งเพื่อแย่งชิงอำนาจ และหวังที่จะรวบรวม Inner Sphere กลับเข้าเป็น Star League โดยมีตัวเองเป็นผู้นำ

The Clans

Kerensky ผู้ซึ่งเป็นฮีโร่จากสงคราม และหน่วย SLDF เก่าของเขา ถูกทาบถามจากเหล่าผู้นำต่างๆ ให้เข้าร่วมกับฝ่ายนั้นๆ แต่ Kerensky ไม่ต้องการเข้ากับฝ่ายใด และเลือกที่จะออกเดินทาง ไปตั้งสังคมแห่งใหม่ ในที่ๆ ไกลออกไป ไกลจาก Terra บ้านเกิดของมนุษย์ เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติ ดังนั้น Kerensky กับผู้ที่ศรัทธาในตัวเขา และเกือบ 80% ของ SLDF ได้รวมตัวกันอพยพออกไปสู่ อวกาศอันไกลโพ้น ในปี 2784

เมื่อปราศจากระเบียบและขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน เหล่า Inner sphere ที่เหลือจึงเข้าต่อสู้กันเองและผลพวงจากสงครามต่างๆ ทำให้ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจากสมัย Star League ค่อยๆ สูญสลายไป เหลือเพียงแต่เทคโนโลยีที่ใช้ในการต่อสู้กัน แม้แต่หน่วย SDLF ที่ยังคงเหลืออยู่ก็ไม่รอดพ้นจากกระแสไปได้ ต่างคนต่างลืมปณิธานเดิมของ SDLF เหลือเพียงแต่ความป่าเถื่อนเข้าห้ำหั่นกัน

จนกระทั่งปี 3049 มีผู้เข้าปะทะกับกองกำลังปริศนาที่ไม่ทราบที่มา ในบริเวณสุดขอบ Inner Sphere ระหว่างล่าเหล่าโจรสลัด และพ่ายแพ้อย่างยับเยิน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุที่มาของกองกำลังที่พวกเขาพบเจอด้วย

clan_invasion

หลายเดือนถัดมา ในปี 3050 เมื่อกองกำลังปริศนาเหล่านั้นค่อยๆ รุกคืบคลานเข้ามายัง Inner Sphere และยึดดวงดาวบางส่วนไปได้ นั่นทำให้ Inner Sphere ได้รู้จักกับ Clans และทราบว่าพวกเขาเหล่านั้นคือเหล่าลูกหลานและผู้ที่ศรัทธาในตัว Kerensky ที่ได้อพยพออกไปจาก Inner Sphere เมื่อ 270 ปีที่แล้ว Clans ซึ่งจุดประสงค์สุดท้ายของเหล่า Clans คือการกลับเข้าสู่ Inner Sphere เพื่อสร้างยุคสมัยที่เหมือนกับ Star League อีกครั้ง

3052
แผนที่แสดงการปกครองของฝ่ายต่างๆในปี 3052

 

ขอจบเนื้อเรื่องคร่าวๆ ที่เรียกกันว่า Classic BattleTech ไว้เท่านี้ครับ ที่จริงแล้วมันยาวต่อไปจนถึงปี 3067 แต่ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า นอกจาก Classic Era แล้วช่วงที่ WizKid ถือสิทธิ์อยู่ได้มีเนื้อเรื่องในอีก 80 ปีหลังจาก 3067 ที่เรียกว่า Dark Era อีกอันเป็นไลน์ใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง Battle Tech Universe ได้ง่าย แต่เนื้อเรื่องในยุคของ Dark Era นั้นยังไม่เคยโดนเอามาทำเป็นเกมเลยสักกะภาคครับ และภาคใหม่ที่จะออกนี้ ดันย้อนกลับไปปี 3015 ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องก่อน Clan Invasion ด้วย นั้นแปลว่าเราคงจะไม่ได้เห็นหุ่นมาสค็อตอย่าง Timber Wolf (MadCat) ในภาค 3015 นี้แหงๆ เลย ; ;

 

reference: Classic BattleTech Universe
http://www.classicgaming.cc
http://en.wikipedia.org/
http://www.sarna.net/wiki/

MechWarrior5 เกมเพลย์เทรลเลอร์!!!!!!!

นึกว่าจะไม่ได้เห็นเกมนี้อีกแล้วนะเนี่ย

อยู่ดีๆ ก็โพสเทรลเลอร์แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยลงตามสื่อ internet

เห็นว่าพรุ่งนี้ถึงจะเป็นการสัมภาษณ์ producer ของเกม

อย่างน้อยๆ ก็เป็นที่น่ายินดีว่าซีรี่ย์นี้ยังไม่ตายครับ และครั้งนี้มันจะยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านๆมาแน่นอน

Mini Review – Logitech G35 เฮดเซทสำหรับเกมเมอร์

จากเอนทรี่คราวที่แล้ว Mini Review – Razer Mamba  วันนี้เรามาพูดกันต่อถึงตัว G35 ครับ

Logitech เองมีสิ้นค้าในกลุ่มสำหรับเล่นเกมอยู่มากมาย ซึ่งในนั้นจะมีสิ้นค้าที่ถูกเรียกว่าสำหรับ PC Hardcore Gamer อยู่จำนวนหนึ่ง โดยจะตั้งชื่อขึ้นต้นด้วยตัว G เสมอ และตามด้วยเลขรหัส ซึ่งจริงๆ ผมว่าการตั้งชื่อสิ้นค้าเป็นเลขรหัสแบบนี้ชวนปวดหัวอยู่เหมือนกัน เพราะบางทีเรียกลอยๆ ขึ้นมาใครจะไปจำได้ว่ารหัสไหนหน้าตาเป็นยังไงครบทุกรุ่น แต่ดูท่าทาง logitech เองก็มีหลักการตั้งชื่ออยู่เล็กน้อยครับ

  • เลขตัวเดียวคือ เมาส์ เช่น G5, G7, G9 และ ตัวล่าสุดชื่อ G9x
  • ในกลุ่มคีย์บอร์ด จะใช้ช่วง 10 ถึง 20 เช่น G11, G13, G15 และน้องใหม่ล่าสุด G19
  • ชุดพวงมาลัยสำหรับเล่นเกมขับรถจะใช้หลัก 20 คือ G25
  • กลุ่มเครื่องเสียงจะอยู่ในหลัก 30 คือ G35

นอกจากนี้ยังมีชุด Joystick HOTAS ที่ยังไม่เปิดขายอย่างเป็นทางการในเลขหลักร้อยขึ้นไป คือ G940 อีกหนึ่งตัว

ซึ่งจริงๆ แล้วถึงแต่ละตัวจะถูกเรียกว่าสำหรับ Hardcore Gamer แล้ว… เอาเข้าจริงๆ หลายๆ ชิ้นเอาไปใช้ทำงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ เช่นกลุ่มตระกูลคียบอร์ด ซึ่งทุกตัวสามารถเขียนมาโครได้ ผมเองก็ใช้ G15 ทำงานโดยการกำหนดมาโครต่างๆ ไว้บนตัวคียบอร์ด รวมถึง (เท่ห์นะครับ กดปุ่มเดียว มีโค้ดเด้งออกมา 3 บรรทัด)

และแน่นอนครับ.. ไอ้สิ้นค้าที่ถูกเรียกว่าสำหรับ Hardcore Gamer นั้น ราคาไม่ค่อยจะน่ารักเลยสักกะชิ้น…เจ้า G35 มีราคาค่าตัวนั้นเกือบเลข 5 (ซึ่งราคายังน่ารักว่า ฉลาม Megalodon ของ Razerที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมานี้เอง ใครจับจองเป็นเจ้าของกันแล้ว เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับว่าเป็นยังไงบ้าง)

 

ก่อนจะพูดถึง ตัว G35 ผมจะขอพูดถึงความสำคัญของเฮทเซทกันเล็กน้อย

เฮทเซท ที่ผมพูดถึง ก็คือ เฮทโฟน ที่มี ไมค์ ติดนั่นแหละครับ

หากว่าคุณๆ ทั้งหลาย เล่นเกมที่ต้องแข่งขันกันเป็นชีวิตจิตใจ หรือเกมที่ต้องอาศัยการทำงานกันเป็นทีมบ่อยๆแล้ว เฮทเซท จัดเป็น 1 ในศาสตราเทพ ที่ขาดไม่ได้ครับ

ลองนึกภาพตามนะครับ เกมที่เล่นมัลติเพลยเยอร์ โดยไม่ใช้เฮทเซทกัน

สมมุติว่า เกมที่คุณเล่นเป็น FPS และคุณเห็นศัตรูกระโจนเข้าใส่มุมอับของเพื่อน ซึ่งเพื่อนคุณไม่มีทางมองเห็นแน่ๆ ถ้าคุณไม่ใช่ไมค์ในการสื่อสารแล้วคุณจะทำยังไง?

พยายามยิงช่วยเหลือสิครับ แต่ถ้าสถานะการมันไม่เอื้ออำนวยละ? ตอนนั้นมันอาจจะวิกฤติสุดๆ แล้ว อารมณ์ว่าตัวคุณเองก็จะรอดมิรอดแหล่ แล้วคุณจะทำยังไงให้เพื่อนรู้ตัว

….ก็ต้องพิมพ์บอก… แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ในเกมที่รวดเร็วแบบนี้

หรือ ภาวนาให้เพื่อนคุณหันมามองพอดี…

แต่ถ้ามีไมค์ ก็ง่ายนิดเดียว… ตะโกนลั่นบ้านเลยครับ

ที่พูดมาเป็นประสบการณ์ตรงจากการเล่น Left 4 Dead กับเพื่อนอีก 3 คนในระดับยาก โดยทุกคนใช้เฮทเซท หรือ หูฟังและไมค์ กันหมด เกมการเล่นค่อนข้างลื่นไหลมากครับ มีอะไรก็เอะอะโวยวายลั่นบ้านกันทุกคนเพราะเกมนี้มีแอกชั่นที่รวดเร็วมาก การสื่อสารด้วยการพิมพ์มันไม่ทันการแน่ๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ แหกปากกันเข้าไป ใครพบ ใครเจออะไร ก็พูดๆ ออกมา (จนเพื่อนผมคนนึงบอกว่า หลังเลิกเล่นแล้ว โดนที่บ้านด่าครับ ว่าแหกปากโวยวายเสียงดังลั่นบ้านมาก)

ทีนี้ทำไมต้องเป็นเฮทเซท? ถ้าต้องการแค่ไมค์ ไปซื้อไมค์ถูกๆ มาเสียบใช้เลยก็ได้ไม่ใช่รือ? ลำโพงก็มีอยู่แล้ว

การเล่นเกมลักษณะนี้ หากจะพูดคุยกันแล้ว เฮทเซท เป็นทางออกสถานเดียวครับ เพราะว่าหากใช้ไมค์ คู่กับลำโพงแล้ว รับรองว่า เสียงจะตีกันวุ่นวาย จนแทนที่จะคุยกันรู้เรื่อง กลับทำให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมอีกครับ หรือบางคนอาจจะบอกว่าปิดเสียงไปเล่นไปก็ได้ แต่กับเกมหลายๆเกม เสียง เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเตือนภัยอันตรายต่างๆ ดังนั้นการปิดเสียงเล่นเกม ก็เหมือนประสาทสัมผัสเราพิการไปอย่างนึงแล้วนั่นเอง จึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

แต่จริงๆ แล้วเฮทเซท ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป ในเกม MMO อย่าง Final Fantasy XI หรือ World of Warcraft นั้นผมใช้แค่ไมค์ลอย แล้วตั้งให้เป็น push to talk เอา (คือไมค์จะทำงานก็ต่อเมื่อเรากดปุ่มใด ปุ่มหนึ่งที่กำหนดไว้เท่านั้น) ก็ สื่อสารกันรู้เรื่องแล้ว ซึ่งเสียงของทั้งสองเกม ก็ไม่ใช่ factor หลักในการเอาตัวรอดนัก

แต่การตั้ง push to talk นั้นจะลำบากตรงที่ ปุ่มที่กำหนดไว้ต้องเป็นปุ่มที่เอื้อมไปกดได้ง่าย โดยไม่ทำให้การควบคุมตัวละครสะดุด นั่นถึงจะเป็นปุ่ม push to talk ที่ดี ซึ่งอันนี้ก็ต้องเทคนิกใครเทคนิกมันแล้วว่าจะตั้งกันยังไง

 

….พล่ามนอกเรื่องไปมากแล้ว กลับมาเข้าเรื่องเรากันดีกว่า ( ‘ ‘)

บอกก่อนเลยนะครับ G35 นี้ใช้ได้กับ PC เท่านั้นนะ เพราะหัวต่อเป็น USB ซึ่งรองรับทั้ง Windows และ OSX และจะต้องลงไดรเวอร์ของ เฮทเซท ด้วยหากต้องการใช้ฟีเจอร์บางอย่าง นั่นแปลว่า PC ไม่จำเป็นต้องมีการ์ดเสียงระดับเทพๆ ขอเพียงมีเฮทโฟนตัวนี้ เท่านั้นก็พอแล้วครับ แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีการ์ดเสียงอย่าง X-Fi อยู่แล้ว เมื่อใช้ G35 ตัว X-Fi ก็จะไม่มีประโยชน์เลยครับ เพราะ G35 ทำหน้าที่เป็นการ์ดเสียงในตัวด้วย

IMAG0146

IMAG0151

ตัวแพ๊กเกจ นอกจากแผ่นไดรเวอร์ และตัว เฮทเซท นั้นยังให้แผ่นรองหัวมาเปลี่ยนอีก 2 ขนาดด้วยกัน ให้เลือกไซส์ได้ตามใจชอบ

 

IMAG0153

ที่ด้านซ้าย จะมีปุ่ม G1-G3 อยู่ ซึ่งปุ่มเหล่านี้เราไปตั้งค่าได้ ว่าจะให้ทำอะไรบ้างเช่นการเพิ่มลดเสียง หรือเปิดโปรแกรม หรืออื่นๆ (แต่ไม่สามารถเขียนมาโครได้นะครับ) และปุ่ม mute ไมค์ กับล้อหมุนปรับระดับเสียง อีก 1 ตัว

นอกจากนี้ตรงบริเวณด้านหลังของไดรเวอร์ด้านซ้ายจะมีสวิทช์อีก 1 ตัวเอาไว้เปิดโหมด surround sound หรือ 2 speaker ธรรมดา

ตัวไมค์ สามารถโค้งงอได้เล็กน้อย และ พับเก็บขึ้นไปได้และเราตั้งค่าได้ด้วยว่าหากไมค์ไม่เปิดใช้งานจะให้ไฟ LED สว่างขึ้นเพื่อเตือนให้เรารู้หรือไม่

 

G35CP2

หน้าจอไดรเวอร์

ไอ้ด้านล่างซ้าย Voice Morphing นั่นเป็น gimmick เล็กๆ น้อยของเฮทเซทตัวนี้

หน้าที่ของมันคือการแปลงเสียงของเราไปเป็นเสียง มิวแทน เสียงแอนดรอย์  ฯลฯ ซึ่งผมว่าเอาไปใช้งานจริงคงไม่ค่อยเวิร์คครับ… แต่ถ้าเอาไปเล่น โรลเพลย์ น่าจะเข้าทางกว่า

การใช้งานจริงในด้านเล่นเกม น่าพอใจมากครับ ทิศทางของเสียง ค่อนข้างชัดเจนว่ามาจากทางไหน รวมถึงไมค์ ที่ใช้คุยกันได้ดีเยี่ยม หรือหากไม่ต้องการใช้ไมค์ ตัวไมค์เองก็พับเก็บซ่อนได้ค่อนข้างเนียนไม่เกะกะสายตา

แต่ทางด้านการฟังเพลงนั้น ผมคิดว่า G35 ทำได้แค่เสมอตัวแค่นั้นครับ คือถ้าคิดจะซื้อหูฟังมาเพื่อการฟังเพลงจริงๆ นั้น มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เยอะในราคาที่เท่ากันครับ แต่ไม่ใช่ว่า G35 เสียงไม่ดีนะ มันดีเลยแหละครับ แต่คงดีสู้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงจริงๆ ไม่ได้ และการที่มันใช้ร่วมกับการ์ดเสียงไม่ได้ (ผมใช้ X-fi อยู่) มันทำให้มีข้อจำกัดพอควร ในด้านการฟังเพลง เช่นเล่น equalizerแบบฮาร์ดแวร์ไม่ได้

อีกอย่างคือ G35 นั้นไม่เหมาะกับเพลงในสไตล์ที่ต้องการความละเอียดของเสียงสูงหรือเสียงแหลม เนื่องจากตัว G35 จะให้เสียงหนักไปทางเบส มากกว่าเพื่อการเล่นเกมส์ที่ได้อารมณ์นั่นเอง

….แต่จริงๆ แล้วเรื่องฟังเพลงนี่รสนิยมใคร รสนิยมมันจริงๆ ผมคงตอบอะไรมากนักไม่ได้ คงบอกได้แค่ว่า G35 เป็นเฮทเซทสำหรับเล่นเกมจริงๆ แต่หากใครซื้อมาฟังเพลงอย่างเดียวแล้ว ผมก็คงคิดว่าเอามาใช้งานผิดวัตถุประสงค์ไปหน่อยครับ ( ‘ ‘)

Pros:

  • เสียงดีมาก บอกทิศทางของเสียงได้ค่อนข้างชัดเจน
  • ไมค์ คุณภาพเสียงค่อนข้างดีมาก
  • ลักษณะที่ครอบหูเก็บเสียงภายนอกค่อนข้างดี ทำให้ได้ยินแต่เสียงเกมในระหว่างเล่น
  • มีที่รองหัวมาให้เปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับหัวของแต่ละคนได้ดี
  • ไม่ต้องการการ์ดเสียง

Cons

  • แต่ใช้งานร่วมกับการ์ดเสียงไม่ได้เช่นกัน
  • Windows, OSX only
  • ตัวไดรเวอร์ 2 ด้านหมุนได้ ซึ่งน่ากลัวว่าหากเกิดการกระแทก หรือหมุนแรงๆ มันจะหักเอาได้
  • ค่าตัวค่อนข้างแพง
  • หากมีการ์ดเสียงที่ดีอยู่แล้ว การเลือกซื้อ หูฟัง และไมค์ มาใช้งานจะเป็นทางออกที่ประหยัดกว่ามาก

ก็จบการรีวิวคร่าวๆ เพียงเท่านี้

คราวหน้า สงสัยจะเป็น G19 ละมั้ง ( ‘ ‘) คีย์บอร์ดอะไรก็ไม่รู้เปิด youtube ได้…. บ้าไปแล้ว

 

———–

แก้รูปเล็กน้อย