เลือกโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ แล้ววินโดว์ 32/64bit มันสำคัญยังไง????

ผมมีโน๊ตบุ๊คอยู่ตัวนึงเป็นของ Asus รุ่น M6N จริงๆ มันก็ยังใช้ได้โอเคอยู่นะ แต่พอเอามารันโปรแกรมใหม่ๆ แล้วเริ่มรู้สึกมันอืดๆ ไม่ทันใจ ไอ้จะไปพันทิพย์ เดินหาซื้อ SDRAM 512MB มาใส่เพิ่มก็ดันมีแต่ 256MB อีก ซึ่งตัวโน๊ตบุ๊คผมก็ใส่ 256 เต็ม2ช่องอยู่แล้ว ตอนนี้เลยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ว่าน่าจะอัปแรมให้มันเปน 1G ตั้งแต่ซื้อเครื่องมาเลย

wi-fi ของเครืองก็เริ่มไม่สมประกอบเช่นกัน มีอาการหลุดบ่อยมาก

แต่ที่เลวร้ายที่สุดของโน๊ตบุ๊ตตัวนี้คือ แบตมันหลวมแล้ว ไม่ใช่แบตเสื่อมนะครับ แต่มันหลวมเฉยๆ เวลาใช้งานต้องเอาปากกา หรืออะไรก็ได้ไปรองบริเวณแบต ด้านใต้เครื่อง ไฟมันจะได้เข้าตัวเครื่อง

นั่นแปลว่า ระหว่างใช้งาน หากไม่เสียบหม้อแปลงแล้ว ผมไม่สามารถยกโน๊ตบุ๊ตตัวนี้ออกจากโต๊ะได้เลยไม่งั้น เครื่องดับทันที และมันหาแบตรุ่นนี้ไม่ได้แล้วด้วยนี่สิ

ในงานคอมมาร์ทรอบล่าสุดที่เพิ่งจบไปก็เลยตั้งใจจะไปเดินหาโน๊ตบุ๊คตัวใหม่สักเครื่อง มาแทนตัวเก่า ที่บางอย่างเริ่มไม่สมประกอบ

โดยผมตั้งเงื่อนไขไว้คร่าวๆ ดังนี้

  • ราคาให้เยอะนิดนึง อยู่ที่ราวๆ 3 หมื่น
  • ต้องไม่ร้อนเมื่อใช้ไปนานๆ หรือถ้าจะร้อน ก็ไม่ควรร้อนจนเกินไป
  • สเปคเครื่องต้องไม่ขี้เหร่ มีการ์ดจอแยก ถ้าสลับระหว่าง on-boardกับการ์ดจอแยกได้ด้วยยิ่งดี
  • แรม 4GB ขึ้นไปเท่านั้น จะได้ใช้ไปได้นานๆๆๆ
  • แบตเตอรี่ น่าจะอยู่ได้สัก 3 ชั่วโมงขึ้นไป หากไม่ได้เปิดใช้งานเต็มที่
  • จอภาพต้องดูแล้วสบายตา ไม่รู้สึกร้อน
  • น้ำหนัก อยากได้ราวๆ แค่ 2 กิโล แต่ถ้ามันจะขึ้นถึง 3 โลเหมือนตัวเก่าก็พอยอมรับได้
  • วัสดุที่ใช้ประกอบตัวเครื่องต้องไม่ดูเห่ยเกินไป
  • ดีไซน์เครื่องก็ขอดูดีนิดนึง ไม่ใช่โน๊ตบุ๊คราคา 3หมื่น แต่รูปแบบตัวเครื่องหยังกะหลุดมาจากจีนแดง

….เรื่องมากนิดหน่อยน่า

ซึ่งในบรรดาโน๊ตบุ๊คทั้งหมด ผมจะไม่ดูของ Sony, Acer, HP, Toshiba ด้วยเหตผลส่วนตัวเล็กน้อย

 

รอบนี้ผมไปสองวัน คือเสาร์กับอาทิตย์

โดยวันเสาร์ไปเดินๆ หยิบใบราคามาเฉยๆ และแอบๆ โฉบดูตัวเครื่องบ้าง (แถมสอย G19 ติดกลับมา 1 ตัว) เก็บใบราคากลับมาที่บ้านมาเปิดเน๊ต เช็คดูแต่ละเครื่อง ที่สนใจ

พอวันอาทิตย์ก็ไปอีกรอบ คราวนี้้ตั้งใจจะไปซื้อจริงหละ แต่ต้องขอดูตัวโน๊ตบุ๊คเป็นๆ แต่ละเครื่องด้วย

เข้างานมาถึงก็ตรงดิ่งไปที่ Lenovo ทันทีไปเล็งๆ รุ่น Y450 ไว้

แต่พอไปเห็นของจริงปุบ ความประทับใจก็เริ่มติดลบละ เพราะตัวพลาสติกที่ใช้ทำคียบอร์ดมันดูแปลกๆ และแถวๆ นั้นผมรู้สึกร้อนๆ บริเวณดวงตาแปลกๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงจากโน๊ตบุ๊ค หรือความร้อนจากบริเวณนั้น หรือยังไงไม่ทราบได้ แต่ผมว่าผมดูจอภาพของ Y450 แล้วไม่ค่อยสบายตาแน่ๆ ละ

แต่ที่ทำให้ผมตัดใจจากโน๊ตบุ๊ค ตัวนี้ทันทีคือเรื่องความร้อนที่ตัวเครื่อง

ผมลองเดินๆ ไปตามบูท ของร้านต่างๆ แล้วเอามือจับๆ ตัวเครื่องบริเวณด้านใต้คียบอร์ด ที่เป็นที่พักมือ พบว่ามีที่ร้อนมาก 1เครื่อง ส่วนนอกนั้นอยู่ในระดับอุ่นๆ

เสปคเครื่องดีจริง แต่คุณภาพเนื้องานดูไม่น่าประทับใจ และความร้อน ที่ค่อนข้างมาก

คือมันจะไม่ใช่ปัญหาเลย หากบริเวณที่ร้อน มันอยู่ด้านใต้เครื่อง แต่ที่มันอยู่ตรงบริเวณที่เอามือวางพอดี

ถึงคนขายจะบอกว่าเครื่องนี้เปิดมาทั้งวันแล้วมันเลยร้อน แต่โน๊ตบุ๊คตัวอื่นหลายๆ ตัวมันก็เปิดมาทั้งวันเหมือนกันมันก็ไม่เห็นร้อนแบบนี้

ก็เลยบ๊ายบาย ลาก่อน Y450 ไปดูของค่ายอื่นดีกว่า

 

ถัดมาก็เลยไปดูที่ Samsung

Samung ถือเป็นค่ายน้องใหม่ในวงการโน๊ตบุ๊ค แต่ไม่ใช่น้องใหม่ในวงการจอภาพแน่นอน ดังนั้นจอภาพของโน๊ตบุ๊ค ก็ไม่น่าจะ มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาคือ เสปคเครื่องไม่ค่อยสมกับราคานี่สิ (มีคนบอกว่าจุดขายของ samsungจะคล้ายๆ กับโซนี่)

ดูผ่านๆ มาก็ประทับใจกับดีไซน์พอสมควรครับ ไม่นับว่าเป็นรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย เพราะพื้นผิวบริเวณที่เอามือวางจะเป็นพลาสติกมัน และเรื่องความร้อน ที่ดูผ่านๆ ไม่มีเครื่องไหนร้อนจนสังเกตได้ บวกกับหน้าจอที่ดูสบายตามาก

มีอยู่สองรุ่นที่พอจะเข้าตาคือ X460 และ R460

ปัญหาก็อย่างที่บอก ไอ้ตัว X460 นี่ราคาถีบไปเกือบเลข 5 ซึ่งหากซื้อในงาน ก็จะมีพรินเตอร์ราคาราวๆ 3พัน และ มอนิเตอร์ สำหรับต่อ โน๊ตบุ๊ค อีกราวๆ 5 พัน ถ้าคิดซะว่ามันขายพ่วง โน๊ตบุ๊คตัวนี้ก็จะอยู่ราวๆ 4หมื่น

แต่พรินเตอร์นั้น ผมเองก็ไม่รู้จะเอามาทำไม ของที่บ้านก็ยังใช้ได้ดีอยู่

ส่วน LCD นั้น ก็ไม่มีที่จะวางใช้งานเช่นกัน

ดูสเปคตัวเครื่องเล็กน้อยหลายๆ อย่างถือว่าเข้าขั้นดีเลยครับ แต่ก็ติดเรื่องการ์ดจอมันอีกนะแหละ ขี้เหร่ไปนิด

แต่เรื่องความร้อน หรือน้ำหนักนี่ X460 สอบผ่านหมดนะ

พอลองหันไปที่ R460 ที่ราคาน่ารักขึ้นมาหน่อยก็เหมือนกันเลยคือ การ์ดจอมันห่วยไปนิดนึง

มีอีกประเด็น ที่ยังไม่เลือกทั้ง X/R460 ในตอนนนี้ก็คือ ในงานมันดันมี X360 และ R540 มาโชว์ตัวด้วย

แต่ดันไม่มีราคา สอบถามคร่าวๆ ก็คือสิ้นค้ายังไม่มี และยังไม่เปิดตัวเป็นทางการ

ก็เลยขอรอดูก่อนดีกว่า อยากจะรู้ว่าอีก สองเครื่องจะมีราคาแบบไหนยังไงด้วย (ที่แน่ๆ เห็นละว่า R540 การ์ดจอนั้นตรงเสปคพอสมควร ถ้าราคาไม่ถีบไปถึง 4หมื่น อาจจะได้สอยตัวนี้จริงๆ )

เลยตัดใจจาก samsungไปดูบูทอื่นต่อไป

 

 

มาจบที่ Benq รุ่น S42และ S57

ตัว S42 จริงๆแล้ว ต้องบอกว่าสเปคนั้นโดนใจหลายๆ อย่างครับ แต่แหม… ดีไซน์มันไม่ถูกใจเลย (เอาน่า…) อุตสาห์เปลี่ยนจาก S41มาเป็น S42 น่าจะมีเปลี่ยนแปลงอะไรมากกว่านี้นิดนึง

เลยหันไปดู S57 ต่อ

ก็ครับ หลงคารมณ์พนักงานขายอีท่าไหน ไม่รู้ บวกกับหลายๆ อย่างผ่านเช็คลิสต์หมด

จะติดก็คือเรื่อง ใช้งานได้ไม่นานเพราะเลือกใช้การ์ดจอแยกหรือการ์ดจอ onboard ไม่ได้

นั่งส่องอยู่นานมากครับ แรม 4gb ก็ไม่มีปัญหาอัปได้

ตอนนั้นก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว เลยตัดสินใจ ตัวนี้ละกัน ไอ้เรื่องน้ำหนักเกือบ 3 กิโล ตัวเก่าเราก็ไม่แพ้กัน แถมสมัยเรียนป.ตรียังแบกมันไปมาทุกวัน กะอีแค่นี้คงเล็กน้อย

ส่วน S57 นั้นในงานมีขายสองรุ่นคือ รุ่นที่มี vista business LC ให้และแบตเตอรี่แบบ 8cell อีกรุ่นไม่มี vista business ให้ แบตเตอรรี่ 6 cell แต่ให้แรม 4G ตั้งแต่แรก

ตอนแรกกะจะเอาแบบหลังครับ ยังไงซื้อมาเครื่องผมก็จะลง windows 7 อยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจกระทันหัน เอาแบบมีวินโดว์มาด้วยดีกว่า จะได้ตัดปัญหาเรื่อง LC บางอย่างออกไป และจะได้เอาแบตเตอรี่ 8 cell เพิ่มด้วย

ครับ

เช็คของแถมเรียบร้อย

แรมยังไม่ได้ใส่กำลังจะใส่เพิ่ม

กำลังจะควักเงินจ่ายแล้วครับ

ทันไดนั้นผมก็ฉุกคิดมาได้

Q: “วินโดว์ที่ให้มา 32 หรือ 64 บิทครับ?”

A: “32ครับ”

Q: “แล้วมีให้เลือกเปลี่ยนเป็น 64 ไหมครับ”

A: “ไม่มีครับ คุณต้องหาแผ่นมาลงเอง”

Q: “งั้นถ้าผมหาแผ่นมาลงได้ แล้วจะใช้ cd-key ของตัว 32 หรือตัวที่ติดมากับเครื่องนี่แหละ ใส่ใน 64 ได้ไหม”

A: “ไม่ได้ครับ”

เท่านั้นแหละครับ เลยต้องขอยกเลิกเลย (ขออภัยนิดนึง หากเหมือนเป็นการฉีกหน้ากัน)

PC ที่มีแรม 4G แต่ดันใช้วินโดว์ 32bit มันไม่มีความหมายเลยนะครับ

พนักงานอีกคนที่เหมือนจะตำแหน่งใหญ่กว่า เหมือนจะได้ยินที่ผมคุยกัน เลยเดินเข้ามาอธิบายชี้แจง

ว่า ทางผู้ผลิตโน๊ตบุ๊ตนั้นได้ OEM มาแต่แบบ 32bits เท่านั้น (จริงเท็จอย่างไรผมไม่ทราบกับผู้ผลิตรายอื่นๆ) และตัว Vista 32bits SP1 นั้น report RAM ถูกต้องว่ามี 4G พร้อมทั้งอ้างว่าเขามี certificate จาก ไมโครซอฟท์ และ โชว์แขนเสื้อที่มีสัญลักษณ์ของไมโครซอฟท์

ประโยคหลังนั้นทำเอาผมเขวไปแปบนึง มีการบอกอีกว่า คุณใช้โปรแกรมอะไรมาวัด แล้วมัน แสดงผลถูกต้องไหม แต่พยายามตั้งสติ เถียงกันต่อสักพัก และบอกขอโทษกลับไป ยังไงก็ไม่เอาดีกว่า เพราะหากเกิดมันเป็นแบบที่ผมเข้าใจแล้วละก็ มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

ตอนนั้นก็เป็นเวลาทุ่มครึ่งได้แล้วครับ คงจะไม่เดินดูอะไรต่อแล้ว เลยตรงดิ่งกลับบ้านเพื่อมาเช็คสิ่งที่ผมเข้าใจทันที

และผมก็เข้าใจไม่ผิด

ว่าถึง Vista SP1 มัน Report แรมครบ 4G แต่ใช้งานจริงมันใช้ได้ไม่ถึง 4 ครับ (หนอย… มัน ใบ certificate ไมโครซอฟเก๊ แล้วยังมาข่มกรู….)

มันเป็นยังไง ต้องขออธิบายแบบนี้ (ใครยังนั่งอ่านจนถึงย่อหน้านี้ได้ รบกวนช่วยตั้งสติ และค่อยๆ อ่านสิ่งที่ผมกำลังจะอธิบายต่อนะครับ อาจจะเข้าใจยากนิดนึงเพราะ จะว่าด้วยเรื่องของ technical ล้วนๆ แต่ถ้าใครเข้าใจแล้วก็ข้ามๆ ไปเลยก็ได้ครับ)

คือแบบนี้ครับเลข 32 บิทนี้ มันไม่สามารถมองเห็นแรมเกิน 4G ได้

เพราะว่าตัวเลขสูงสุดของ 32บิท ก็คือ 4294967295

ใครมือเครื่องคิดเลข จะลองจิ้มตามก็ได้ โดยปรับเป็นโหมดเลขฐานสอง และกดเลข 1 ไป 32 ตัว แล้วก็แปลงกลับมาเป็นเลขฐาน 10 จะได้จำนวนตามที่ว่า ซึ่งเมื่อนำมาคำนวนแล้วจะได้ 4G เกือบพอดี (ขาดไปแค่ 1 เท่านั้น)

ซึ่ง OS 32บิท นั้นจะใช้เลข 32บิท ในการอ้างถึง adress ของหน่วยความจำ ดังนั้นมันไม่สามารถอ้างหน่วยความจำที่เกิน 4G ขึ้นไปได้

ฟังดูมันก็ไม่น่ามีปัญหาใช่ไหมครับ เลข 32บิท มันก็ควรจะใช้ได้ครบ 4G สิ

แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

เนื่องจากว่า ฮาร์ดแวร์ ต่างๆ ในเครื่องเอง ก็ต้องการเลข adress ในการอ้างถึงหน่วยความจำของฮาร์ดแวร์เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การ์ดจอทั้งหลาย ยิ่งการ์ดจอมีแรมเยอะ ก็ยิ่งต้องการพื้นที่การอ้างถึง adress เยอะถามไปด้วย

 

ตั้งสติ อีกรอบนะครับ… ตรงนี้คนที่ไม่เคยเขียนโปรแกรมมาอาจจะงง หรือสลบคาคีย์บอร์ดไปแล้ว

32b_1

ลองมองตามเส้น = นะครับ สมมุติว่านั่นคือ ram 4G ที่ใส่ในเครื่องเรา ซึ่งเป็นเลขสูงสุดที่ OS32 อ้างถึงได้

และพอเราเอา ฮาร์ดแวร์ต่างๆ เข้ามาร่วมวงด้วย รูปภาพมันจะเปลี่ยนไปแบบนีั้

32b_2

เจ้าเส้นทึบ ที่แอบมาเนียนแทรกนั้นคือส่วนของฮาร์ดแวร์นั่นเองครับ จากรูปจะเห็นว่าตัวเลขโดนกันออกไปถึง 1G เพื่อเอาไว้ใช้กับฮาร์ดแวร์ต่างๆ ในเครื่อง

ในความเป็นจริงแล้วส่วนที่ถูกกันออกอาจจะไม่ได้อยู่ด้านท้าย อาจจะไปอยู่ด้านหน้าก็ได้ อันนี้ขึ้นกับ OS แต่ละตัวครับว่าจะ Implement อย่างไร

ดังนั้น OS32บิท จะไม่สามารถใช้แรมได้ถึง4G เด็ดขาด เพราะว่าเลข adress ส่วนนึงจะถูกกั้นไว้สำหรับอ้างถึงหน่วยความจำของฮาร์ดแวร์

ทางแก้สถานเดียวคือลง วินโดว์64 ครับ

หากเราใช้วินโดว์ 64 รูปในรูปที่สอง มันจะเปลี่ยนไปแบบนี้

64b

ครับตัวเลขมันทะลุ 4G ได้เพราะเลขสูงสุดของ 64bit มันเยอะกว่า 4G มหาศาลดังนั้น ฮาร์ดแวร์ก็ไม่ต้องมาเบียดกับ Ram แย่งกันใช้ตัวเลขแล้ว

เยอะกว่าแค่ไหนอันนี้ลองไปคำนวนเล่นๆ กันเองดู แต่ว่า ณ. ขณะนี้ windows 64 นั้นรองรับแรมสูงสุด 128G ครับ

ใครมาถียงบอกว่า Vista SP1 32bit รีพอร์ทแรมครบ 4G คุณเอาสิ่งที่ผมอธิบายไป ไปเถียงตอกกลับไปเลยครับ ให้มันรู้ซะบ้างว่า คนซื้อไม่ได้โง่!

 

 

เขียนมาถึงขนาดนี้ หากคนที่หลงเข้ามาอ่าน นั้นเป็นคนที่ผมเกือบจะจ่ายเงินซื้อโน๊ตบุ๊คไปแล้ว

ผมก็ขอโทษด้วยนะครับ กับความเรื่องมากของผม แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณเอาความรู้ผิดๆ ของคุณไปบอกคนอื่นเหมือนกัน

ที่จริงผมเห็นว่าใต้โน๊ตบุ๊ค นั้นมีเลข cd-key อยู่? ถ้าหากคุณคนขายตอนนั้นจะยืนยันกับผมว่า มันสามารถเอาไปใช้กับ Windows Vista Business 64 ได้ละก็ ผมก็จ่ายเงินไปแล้วหละครับ  เพราะว่า จริงๆ แล้วผมมี cd-key ของ msdn อยู่ ซึ่ง cd-key ในนั้น เลขเดียวกันสามารถใช้ได้ทั้ง 32 และ 64 บิท

คือจริงๆ แล้วผมเชื่อว่ามันน่าจะใช้ได้นะ หากไอ้เลขนั้นเป็นเลข cd-key จริงๆ แต่คนขายดันบอกว่าไม่ได้ ผมก็ต้องเซฟเงินในกระเป๋าตัวเองก่อนหละแบบนี้

 

และ จริงๆ แล้ว หากใครที่เกียวข้องกับวงการ บังเอิญ มาอ่านคำบ่นของผมพอดี ผมเองก็อยากจะ ฝากบอกสักเล็กน้อย หากคุณ ให้ทางเลือกกับลูกค้าในการเพิ่มแรมเป็น 4G แล้ว คุณควรจะต้องให้ทางเลือกในการเปลี่ยนจาก 32bit เป็น 64bit ด้วยเช่นกัน

 

……… อันที่จริงแล้ว ปัญหานี่จะไม่เกิดเลยหากผมไม่ได้เลือกที่จะเพิ่มแรมเป็น 4G หรือ เลือกเอาแบบไม่มีวินโดว์ LC มาตั้งแต่แรก

ขอย้ำอีกทีนะครับว่า โน๊ตบุ๊ค ตัวที่ผมเกือบจะซื้อ ไม่ได้ลงแรมมาถึง 4G ตั้งแต่แรก แต่ผมเลือกที่จะจ่ายเพิ่มเอง ดังนั้นปัญหา นี้ไม่ใช่ปัญหาของผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คนะครับ แต่เป็นปัญหาระหว่าง ผมที่เรื่องมาก กับ ตัวแทนจำหน่าย ที่พูดจาอวดรู้ เท่านั้นครับ

ขออภัยอีกครั้งนึงละกัน กับความเรื่องมากของผม ._.

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้ต้องการ ดิสเครดิต ค่ายไหนๆ ทั้งนั้นนะ ครับ ผมเพียงแค่อยากจะบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายต้องมาคิดถึงเรื่อง windows 64 bits อย่างจริงจัง

เพราะเรากำลังจะก้าวไปสู่ยุคนั้นอย่างเต็มตัวแล้วในไม่ช้า

 

reference อ้างอิง
http://support.microsoft.com/kb/929605/
http://support.microsoft.com/kb/946003/

ปล. เขียนมาเยอะมาก  ที่เกียวกับหัวข้อกระทู้ มีนิดเองเอง….
ปล2. ….. รู้สึกไม่ได้พูดถึงเรื่องเกม มาหลาย entry แล้ว XD

 

edit แก้ทำเป็นรูปภาพ

 

แก้ที่ผิดเล็กน้อย Benq S57 รุ่นที่พ่วง windows จะเป็น Vista Business 32 bit ครับไม่ใช่ Vista Ultimate 32 Bit

Logitech G19

ไปงานคอมมาร์ทมาเลยได้ถอยของเล่นใหม่มา *-*

IMAG0190

IMAG0191

ขอตัวไปลองเล่นก่อนว่ามันทำอะไรได้มั่ง :E

mini review – Break Blade [Spoile]

หมายเหตุ: สปอย์ เล็กน้อย หรือไม่น้อย แต่อาจจะเยอะเลย

 

license9-2

 

Breakblade หรือ เบรคเบลด จากสำนักพิมพ์ ลัคพิมพ์

 

เป็นมังกะแนว ไซไฟ แฟนตาซี

โลกในเรื่อง เป็นโลกที่แห้งแล้งไม่มีทรัพยากรมากเท่าไหรนัก

และน้ำมันก็หมดไปจากโลกแล้ว

แต่ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าหินควอชต์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ มีพลังในการบังคับหินควอซต์นี้ได้ หรือก็คือพลังเวทย์

ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับหินควอซต์ และเอาไปใช้สร้างเครื่องจักรต่างๆ เรียกได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ นั้นใช้หินควอซต์ เกือบทั้งนั้นและ แน่นอนว่า อุปกรณ์ที่ใช้หินควอซต์สร้าง จะต้องใช้พลังเวทย์ในการขับเคลื่อนอุปกรณ์นั้นๆ ด้วย
demo9-1

ไรแก๊ท พระเอกของเรื่อง นั้นเป็นคนที่ไม่สามารถใช้เวทย์ได้

คนที่ไม่สามารถขยับหินควอซ์ได้จะถูกเรียกว่า Un-sorcerer หรือ ไร้ความสามารถ พระเอกของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

ไรแก๊ท เป็นคนที่สู้ชีวิตพอสมควร ตั้งแต่ ใช้พลังเวทย์ไม่ได้ทำให้โดนถากถางเสมอ ใช้เครื่องจักรหลายๆ อย่างแบบที่คนอื่นทั่วไปใช้ไม่ได้ บ้านมีฐานะยากจนทำให้เรียนไม่จบและยังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงอีก

 

40

แต่ ชตากรรมของไรแก๊ท ก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อวันหนึ่ง โฮเซิ้ล กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรคริชน่าได้เรียก ไรแก๊ท เข้าไปพบ ซึ่งจริงๆ แล้วทั้งคู่ เป็นเพื่อนกันในสมัยนักเรียน รวมถึง ชิกิวน์ ราชินีแห่งคริชน่า ด้วยเช่นกัน

แต่การเรียกไปครั้งนั้น ทำให้ไรแก๊ททราบความจริง ที่ไม่น่าจะได้ยินอีกอย่าง นั่นคือ ในขณะนี้ คริชน่า โดนรุกรานจาก สหพันธรัฐอาเธเนส ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน และผู้นำกองทัพที่มาบุกนั้น คือ เซส ซึ่งเป็น 1 ในเพื่อนสนิทสมัยเรียนด้วยเช่นกัน

 

demo9-14

 

เซส กับ หน่วยรบของเขา และ โกเลม 5 เครื่อง เป็นหน่วยที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะมีเพียง 5 คน แต่กองทัพของคริชน่าก็ไม่สามารถทำอะไร เซส ได้เลย

ดังนั้นเวลาที่เมืองคริชน่าจะถูกตีแตกจึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นการเลือกยอมจำนน จึงเป็นทางออกที่ดีกว่า เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ซึ่งโฮเซิ้ลเอง ก็เห็นด้วยกับความคิดนี้

แต่สิ่งที่ทำให้ ไรแก๊ท นั้นลำบากใจหนักยิ่งกว่าเดิมนั้นคือ โฮเซิ้ล ไม่สามารถยอมจำนนต่อ อาเธเนส ได้ง่ายๆ เพราะเงื่อนไขในการยอมจำนนคือ ชีวิตของ กษัตริย์ และทุกคนในครอบครัว

หากคริชน่ายอมจำนน นั่นหมายถึง โฮเซิ้ล และ ชิกิวน์ เพื่อนสนิทของเขาก็ต้องถูกประหารด้วย ไรแก๊ท โฮเซิ้ล และ แม่ทัพบัลด์ เป็นเพียง 3 คนเท่านั้น ที่รู้ความจริงข้อนี้

 

ชายหนุ่ม บ้านนอก ที่ “ไร้ความสามารถ” จะสามารถทำอะไรได้ ในสถานการเช่นนี้?

 

แต่ในสถานวิจัยของคริชน่าเอง มีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายอยู่ นั่นคือโกเลมโบราณ หรือ อันเดอร์โกเลม ที่ถูกขุดค้นพบในสถานที่แห่งหนึ่ง

51

ไม่มีใครรู้ว่า โกเลมตัวนี้ใครเป็นคนสร้าง

ไม่มีใครรู้ว่า โกเลมตัวนี้สร้างขึ้นเมื่อไหร

ไม่มีใครรู้ว่า โกเลมตัวนี้ทำงานยังไง

ผู้ที่จะตอบได้นั้น ก็ได้ตายกลายเป็นซากมัมมี่คาห้องนักบินไปแล้ว

คริชน่าได้พยายามวิจัยเกี่ยวกับโกเลมตัวนี้ทุกวีถีทาง เพราะเชื่อว่าโกเล็มตัวนี้ กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้อยู่

แต่ชะตากรรมชอบเล่นตลกเสมอ

โฮเซิ้ล ได้พาไรแก๊ทมาดู โกเลม เพราะเชื่อว่า ไรแก๊ท ที่ไม่สามารถใช้พลังเวทย์ได้ นั้นอาจจะทำอะไรสักอย่างกับโกเลมตัวนี้ได้

ทันไดนั้น ทหารแห่งอาเธเนส ก็ได้บุกเข้าถึงบริเวณที่ขุดค้นพบโกเลมพอดี

แรงสั่นสะเทือนจากการสู้รบ ทำให้ไรแก๊ท บังเอิญเข้าไปนั่ง ในตัวโกเลมและ มือไปสัมผัสอะไรสักอย่างที่คิดว่าเป็นสวิทช์โดยบังเอิญ เครื่องยนต์ก็เริ่มทำงาน และเริ่มมีข้อความเป็น ภาษาโบราณ ไรแก๊ทจังไม่เข้าใจได้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น

ชะตากรรมเล่นตลกอีกครั้ง เมื่อเขาบังเอิญไปทำให้อันเดอร์โกเลมกระโดด ออกจากบริเวณที่ถูกขุดขึ้นมา ตกไปสู่กลางสนามรบในขณะนั้นพอดี ทำให้ไรแก๊ทต้องเข้าสู้รบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

26

นั่นเป็นทั้งฝันร้ายของไรแก๊ท และฝันร้ายของ หน่วยรบ อาเธเนส เพราะ โกเลม ตัวนี้ดันมีประสิทธิภาพผิดกับคอมม่อนเซนส์ของคนทั่วไปมาก มันสามารถ ยกดาบขนาดใหญ่ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ที่โกเลมทั่วไปไม่สามารถยกได้ด้วยแขน 2 ข้าง  มันสามารถกระโดดได้สูงกว่าโกเลมทั่วไปหลายเท่า และมันสามารถวิ่งด้วยความเร็วที่ผิดกับโกเลมทั่วไปเยอะมาก และผู้ที่จะบังคับโกเลมตัวนี้ได้มีเพียงแค่ ไรแก๊ทเท่านั้น แต่ไรแก๊ท ไม่ใช่คนที่ชอบต่อสู้เลยแม้แต่น้อย

แต่ไรแก๊ท ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว เขาจะต้องสู้

ไม่ใช่เพื่อประเทศ

แต่เพื่อเพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ตรงหน้า

แม้ว่า เขาจะต้องสู้กับเพื่อนรักอีกคนก็ตาม

 

 

เบรคเบลด ที่มาของชื่อเรื่อง มาจากการที่ตัว อันเดอร์โกเลม มีเขาและแผ่นหลัง ที่มีสภาพคล้ายกับดาบที่หักนั่นเอง

 

เรื่องนี้มีกลิ่นอาย หลายๆ อย่างที่ไม่สามารถหาได้จากการ์ตูน หุ่นยนต์ ทั่วๆ ไปครับ แต่ในขณะเดียวกัน ก็คาดว่ามีแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างจาก เรื่องในอดีตด้วยเช่นกัน

ถึงแม่ว่าพระเอกจะจับพลัดจับพลูมาขับหุ่นโดยบังเอิญเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ไรแก๊ทของเรานั้น ไม่ได้เก่งเทพเหมือนอย่าง พี่เทพคิระ หรือ ป๋าอามุโร่ ของเราๆ กัน

ไรแก๊ทของเราเป็นเพียงปถุชนธรรมดา เท่านั้น และยังโดนดูถูกจากคนรอบข้างเพราะ ไม่มีพลังเวทย์ในการใช้อุปกรณ์หินควอทซ์ต่างๆ เหมือนอย่างที่คนอื่นทำได้กันด้วย

ตัวหุ่น อันเดอร์โกเลม หรือ เบรคเบลด หรือ เดลฟิงก์ (เป็นโค้ดเนมที่ใช้เรียกในเล่ม 3) เองนั้นถึงมันจะเป็นเทคโนโลยี โบราณ ที่ไม่มีในปัจจุบัน และมีพละกำลัง ที่มหาศาลเมื่อเทียบกับ โกเลม ตัวอื่น แต่ ตัวมันเองนั้น มีเกราะที่บางเอามากๆ และยังมีข้อจุกจิกวุ่นวาย อื่นๆ อีกมากมายในการใช้งาน เช่นความร้อนที่ขึ้นสูงเร็วมาก และหากเกิดการโอเวอร์ฮีทขึ้น จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

และพลังเวทย์ในเรื่อง เท่าที่เห็นก็เป็นเพียงพลังที่ใช้ในการบังคับหรือควบคุมหินควอทซ์เท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นเสกไฟ เสกสายฟ้า มายิงกันเหมือนเรื่องอื่นๆ

พระเอกนอกคอก และ โกเลมนอกคอก แต่กลับเป็นกุญแจแห่งชัยชนะ

นั่นทำให้เรื่องนี้มีอะไรที่แปลกกว่าการ์ตูนหุ่นยนต์ทั่วไปมาก

จากการที่อ่านมา 3 เล่ม ประเด็นหลักๆ ของเรื่อง จะวนเวียนอยู่ที่ตัวไรแก๊ทเอง ในสถานการที่ เลือกทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ไรแก๊ท จะหาทางออกให้กับตัวเองอย่างไร และเขาจะทำยังไงถึงจะสามารถรักษาชีวิตเพื่อนได้ทุกคน

 

ไรแก๊ท ไม่ใช่คนที่จะสู้เพื่อประเทศเลยแม้แต่น้อย

แต่หากเป็นเพื่อนสนิท เขายอมได้ทุกอย่าง แม้ว่าในใจของเขาจะไม่ชอบการต่อสู้สุดชีวิต

ด้านฉากสู้กันนั้น ก็วาดเก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียวครับ แต่นั่นก็เลยทำให้รู้สึกว่า 3 เล่มผ่านไป เนื้อเรื่องยังไปไม่ถึงไหนเช่นกัน (อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ เวลาสู้กันใช้หน้ากระดาษเปลืองมากครับหน้านึงมีเพียงแค่ 3 – 4ช่องเท่านั้นเอง) หากไม่โดนตัดจบไปซะก่อน ก็คงได้อ่านกันอีกนานน่าดู

 

จริงๆ ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าในไทยนั้น เรื่องนี้ขายดีแค่ไหน แต่เห็นว่าในญี่ปุ่นเรื่องนี้มียอดขายที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร

หวังลึกๆ ครับว่าจะได้เห็นเรื่องนี้เป็นอนิเม แต่ท่าทางจะยาก หากยอดขายในญี่ปุ่นไม่ค่อยดีแบบนี้

ขณะนี้ในไทยนั้นวางจำหน่ายเล่ม 3 แล้ว ส่วนในญี่ปุ่นปัจจุบันอยู่ที่เล่ม 5

ตัวฉบับภาษาไทยนั้น โดยรวมก็ชอบรูปเล่มนะ ปกในยังมี เกร็ดความรู้ต่างๆ ของตัวเรื่องอีก

แต่ว่า เล่ม 3 นั้นมีอาการพิมพ์เบลอ แบบเห็นได้ชัดๆ เป็นเพียงบ้างหน้า (อาการเดียวกับสมัย SIC พิมพ์เบลอทั้งเล่มนั่นหละครับ)

หวังว่าจะ แก้ไขในเล่มต่อๆ ไปนะครับ ( ‘ ‘)

 

 

37

ปล. มีตีท้ายครัวแน่ๆ ครับเรื่องนี้ ฟันธง!

 

credit: ภาพจาก สำนักพิมพ์ ลัคพิมพ์ และ onemanga

สำหรับตัวอย่างตอนที่ 1 ก็หาได้จากเว็บของสำนักพิมพ์เองครับ

Mini Review – Razer Mamba

ครับ ใช้งานมาได้พักใหญ่ๆ เกือบเดือนแล้ว

ตั้งแต่ไปดูคอนเสิร์ท ที่สิงก์โปร นั่นแหละครับ ก็ตบเมาส์ตัวนี้กลับมาด้วย

Razer Mamba เป็นเมาส์รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเมาส์ไร้สายตัวแรกของ Raze
แต่ความพิเศษของมันอยู่ที่ มันสามารถใช้ได้ทั้งในโหมดไร้สาย และโหมดธรรมดา

มาดูแพ๊กเกจกันดีกว่า

IMAG0186

… มาเป็นกล่องพลาสติกสวยงาม จนสงสัยว่า จะให้เอาไปตั้งโชว์ หรือเอาไปใช้กันแน่

IMAG0183

ข้างในแพ๊กเกจ ก็หรูหรา อลังการมากครับ แค่นี้ก็สร้างความประทับใจก่อนใช้ได้แล้ว

ที่เห็นนั้นชั้นแรกเป็นสาย USB ชั้นที่สองเป็นแบตเตอรี่และฝาปิดที่ใส่แบต และชั้นที่สามเป็นแท่นชาร์จและแท่นรับสัญญาณนั่นเอง ส่วนกล่องที่เห็นทางด้านซ้ายนั้นเป็นกล่องใส่คู่มือครับ

IMAG0185

ตัวแท่นยึดเมาส์ ยังสามารถถอดออกมาเพื่อเอามาตั้งโชว์ได้อีก (ตกลงจะให้ตั้งโชว์ ไม่ต้องใช้เลยใช่ไหม?)

IMAG0160

หน้าตาของแท่นรับสัญญาณ ที่เป็นแท่นชาร์จในตัว

IMAG0166

ใช้งานในโหมดไร้สายก็จะเป็นแบบนี้ละครับ หากใช้งานแบบธรรมดาก็แค่ถอดสาย USB จากแท่นรับสัญญาณเสียบกลับเข้าตัวเมาส์แค่นั้น

IMAG0178

ขณะทำการชาร์จด้วยแท่นชาร์จ

มาดูการปรับแต่งไดรเวอร์กันบ้าง

razer_mamba_driver_1

การกำหนดปุ่มต่างๆ เป็นเมาส์ 7 ปุ่ม น้อยกว่า Lachesis อยู่ 2 ปุ่ม

razer_mamba_driver_2

razer_mamba_driver_3

สังเกตว่าเราเลือก จำนวน state ของ dpi ได้ด้วย บางคนอาจจะใช้เพียงแค่ 2state ก็ปรับได้จากหน้าจอนี้ครับ

razer_mamba_driver_4

หน้าจอโปรไฟล์ครับ สามารถตั้งให้โปรไฟล์เปลี่ยนตามโปรแกรมได้เช่นเคย

razer_mamba_driver_5

หน้าจอ manage macro

razer_mamba_driver_6

สุดท้าย ก็เรื่องลูกเล่นทางด้านแสงไฟเล็กน้อย

ลองเอาไปเล่น Left 4 Dead กับเพื่อนๆ ในแบบไร้สาย เมาส์ตัวนี้ก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียวครับ โดยเปิด dpi ไปสูงสุดที่ 5600 การตอบสนองของเคอเซอร์นั่นดีมาก และยังคล่องมือด้วย เพราะไม่มีสายมาเกะกะพื้นที่อีกแล้วค่อนข้างประทับใจหลายๆ อย่างครับ ตั้งแต่รูปทรงที่จับถนัดมือ และไม่หนักมากเมื่อใช้งานในแบบไร้สาย

สรุปข้อดีข้อเสียหลังจากที่ลองใช้มาสักพักครับ

Pros

  • รูปทรงจับถนัดมือมาก
  • น้ำหนักค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับเมาส์ไร้สายตัวอื่น
  • แบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มใช้งานได้นานพอควรครับ เท่าที่ลองมาเล่นตั้งแต่เช้า ก็อยู่ได้จนดึกๆ เลยหละ
  • การ record macro นั้นทำได้ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับไดรเวอร์ของเมาส์ตัวเก่าๆ หากใครเคยใช้ macro ของG11, G13, G15 ของ logitech ก็ประมาณนั้นเลยครับ

Con

  • เนื่องจากแท่นชาร์จ และแท่นรับสัญญาณต้องต่อ USB เข้ากับ PC เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถชาร์จได้หากปิด PC ทิ้ง
  • บน desktop หากใช้งาน dpi ที่ระดับสูงๆ อาจจะเจออาการเคอเซอร์ขยับเองทั้งๆ ที่เมาส์อยู่เฉยๆ ได้ซึ่งเป็นปรกติของเมาส razer ที่ dpi เยอะมากๆ (เกิน 4000 ขึ้นไป) อยู่แล้ว (ธรรมดา ใช้งานโปรแกรมทั่วไปผมจะตั้งไว้แค่ 2000 dpi)
  • ถึงน้ำหนักมันจะเบายังไง แต่มันก็หนักกว่าเมาส์มีสายอยู่ดี
  • ราคาค่าตัวโหดมากครับ ตัวนี้ได้มาในราคาราวๆ 190 SGD (สิงก์โปร ดอลล่า) ในไทยเองก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร

Notes:

  • ไม่มีไดรเวอร์มาให้ ต้องโหลดเอาเองจากเว็บไซต์ อาจจะไม่สะดวกสำหรับบางคน แต่สำหรับผมที่ติดนิสัยไม่ใช้ไดรเวอร์จากกล่องนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร
  • มีแบตเตอร์รี่มาให้เพียงก้อนเดียวเท่านั้น หากเกิดปัญหาแบตเสื่อมขึ้นมา อันนี้สงสัยต้องติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายในไทยเอาดู
  • ถึงหัวต่อมันจะเป็น mini usb แต่ไม่สามารถทำเอา miniusb แบบปรกติมาต่อได้ครับ เนื่องจากตำแหน่งรูเสียบ usb มันจะเป็นร่องลึกลงไป ทำให้ miniusb ทั่วไปไม่สามารถเสียบได้ แต่คาดว่าสามารถ modify ให้ใช้งานกันได้หากอยากทำ

คราวหน้า เดียวจะมาพูดถึง logitech G35 กันบ้าง ขอลองใช้อีกสักพักก่อน *-*

race [Hume] face [M2a]

Hm2a

เผ่า Hume เพศ ชาย หน้า เบอร์ 2a

เป็นรูปจาก character creation เวลาเล่นจริงโมเดลจะหยาบกว่านี้เยอะ

aldo

หากเป็น b จะเป็นผมทอง

คนนี้คือ Aldo มาจาก Opening Movie ของ FF11

Capture6

คาดว่าหน้าเดียวกัน จาก trailer ของ FFXIV ยังไม่มีชื่อ (สงสัยจะไม่มีชื่อ)

Capture7

ส่วนนี่ Rush Sykes พระเอก Last Remnant
… หยังกับถอดแบบกันมา ใช้คาแรกเตอร์ดีไซน์คนเดียวกันเปล่าเนี่ย

จากผลสำรวจ census 2008 หน้านี้เป็นหน้ายอดนิยมอันดับสองของ FF11 เวลาคนสร้างเผ่า Hume ชายครับ (รวมผมทั้ง 2 สี)

NPC สำคัญๆ หลายๆ ตัวใน FF11 ก็ใช้หน้านี้ละครับHume M2 เป็นหน้าที่โหลมาก…

wolfgang

เช่น Wolfgang หัวหน้าการ์ดแห่งเมือง Jeuno

Razfahd

คุณพี่ Razfahd แห่ง Aht Urhgan

Mayakov

แต่ที่เห็นแล้วกุมขมับที่สุดต้องยกให้ Mayakov จาก Wing of Goddess เลยครับ…

หมอนี่เป็น Dancer หัวหน้าคณะ Troupe Mayakov ดูจากชุดก็รู้ว่า เป็นเกย์แท้ 100%

แถมภาษาที่ใช้ยังแรดสุดตีนด้วย! เวลามันพูดตัว s,c มันจะเขียนเป็น th หมด

เช่น Return at once! Your behavior is unacceptable -> Return at onthe! Your behavior ith unactheptable!

… ไม่แนะนำให้เขียนเลียนแบบ ไม่ว่าเหตผลใดๆ…. อ่านยาก max max

ใครคนไหนสร้างคาแรกเตอร์แล้วใช้หน้า Hume M2a

มาเล่น Wing of Goddess Mission แล้วเจอหมอนี่โผล่มาใน cutscene ทีไร เซ็งกันตามๆ ทุกที

หะๆๆ…

วานาดีล สู่ เอโอเซียร์ (ไฮเดลิน)

ว่ากันต่อจากคราวที่แล้วเกี่ยวกับ FFXIV

การเปิดตัวของ FFXIV มีผลกระทบกับ FFXI พอสมควรครับ

บางคนก็ว่า เป็นโอกาศดีที่จะหยุดพักเตรียมตัวเพื่อย้ายไปยังโลกใหม่
บางคนก็ว่า ยังไม่อยากเลิกเล่น FFXI และก็ไม่คิดจะไปเล่น FFXIV
บางคนก็ว่า FFXI คงจะถึงจุดจบแล้ว

… ใจเย็นๆ กันก่อน

ถ้ายังมีคนเล่นอยู่ FFXI ก็คงไม่ปิดลงง่ายๆ แหล่งทำเงินทำทองของสี่เหลี่ยมเลยนะนั่น ตัวเกมภาค Wing of Goddess เองเนื้อเรื่องก็ยังไม่จบด้วย

… หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกว่า FFXIV จะออก และทุกคนหนีไปเล่น FFXIV กันหมด ไม่หลงเหลือคนเล่น FFXI แบบนี้ไม่ว่าค่ายเกมไหนๆ ก็คงปิดทิ้งละครับ จะเปิดไว้เปลืองค่า maintainance server ไปทำไม

แล้วทุกคนจะหนีไปเล่น FFXIV กันหมดเลยหรือ?

คงยากเล็กน้อย

ยังไงเกมมันก็คนละภาคกัน คนละระบบกัน คงไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบกับระบบใหม่ของภาค 14 กัน

… แต่ตัวละครกลับคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น

คนที่ดู trailer แล้ว และเคยสัมผัสกับภาค 11 หรือเคยติดตามข่าวสารของภาคนี้ ก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับเผ่าพันธ์ของ ภาค 14 (แต่กัลก้าหางหายนะ!)

สี่เหลี่ยมบอกไว้ว่าที่ทำแบบนี่ ก็เพื่อที่จะให้คนที่ย้ายจากภาค 11 มา รู้สึกคุ้นเคยกับภาค 14 ได้ทันที ถึงจะมีรูปร่างเหมือนกัน แต่ก็จะเป็นคนละเผ่ากัน ชื่อจะเป็นชื่อใหม่ และจะมีการปรับรายละเอียดค่า status ของแต่ละเผ่าใหม่  ใหม่ยังไง… ไม่รู้… แต่คราวนี้ กัลก้า อาจจะเก่งมนต์ดำก็ได้! (ไม่หรอกมั้ง…)

… แปลว่า สี่เหลี่ยม จะทิ้งภาค 11 จริงๆ?

ไม่ว่ายังไงก็ตาม จากบทสัมภาษณ์ ล่าสุด สี่เหลี่ยมบอก ไว้ว่าจะให้บริการเกมทั้ง 2 เกมแบบคู่ขนานกัน และตั้งใจจะไม่ทิ้งคนที่เล่นภาค 11 เด็ดขาด

… กาลเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้  ไม่แน่ครับภาค 14 อาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็ได้ (หวังว่าจะไม่ใช่แบบนั้น)

ตัวผมเอง ถึงจะยังเล่น FFXI อยู่ แต่ผมเองก็ไม่ค่อยชอบอะไรหลายๆ อย่างที่ FFXI มันเป็น หนึ่งในนั้นคือคำว่า PS2 Limitation

… เป็นคำกล่าวอ้างที่ฟังกี่ทีก็เซ็งเป็ดทุกที

ที่มาของคำๆ นี้คือ เดิมที FFXI เป็นเกม MMORPG ที่ลงให้กับ PS2 จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีคนที่เล่น FFXI บน PS2 อยู่ แม้ว่าทุกวันนี้ จะมีให้เลือกเล่นบน PC และ Xbox360 ด้วยก็ตาม

แล้วทำไมถึงไม่ทิ้ง PS2 ไว้แบบนั้น แล้วไปพัฒนาของ PC กับ 360 ให้มันดูดีกว่านี้

เพราะผู้เล่นบน PS2 ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ที่ สี่เหลี่ยมจะเมินไปได้ง่ายๆ  และ สี่เหลี่ยมต้องการให้ช่องว่างของ ทั้ง 3 เวอร์ชั่นแตกต่างกันน้อยที่สุดนั่นเอง

ดังนั้นระบบ หลายๆ อย่าง รวมทั้ง อินเตอร์เฟสของภาค FFXI จึงได้โบราณอยู่แบบนั้น ไม่สามารถทำให้มันดีกว่านั้นได้ รวมไปถึงกราฟฟิค ที่ไม่มีทีท่าว่าจะอัปเกรดขึ้นมาได้เลย

เพราะ PS2 Limitation ….

หรือจริงๆ แล้วอาจจะเป็นความขี้เกียจของทีมงานที่จะทำอะไรสักอย่าง ก็เลยอ้างว่า PS2 Limitation ไป…

… แต่หวังว่าหลังจากนี้ผ่านไป 5 ปี ผมจะไม่ได้ยินคำว่า PS3 Limitation นะ

 

มีอีกประเด็นที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ คนที่ยังเล่น FFXI อยู่และคิดจะไปเล่น FFXIV ด้วย นั่นคือ เราจะย้ายตัวละครไปได้ไหม?

… เพ้อเจ้อครับ เมื่อพิจารณาจากหลายๆ อย่างตั้งแต่ความได้เปรียบเสียเปรียบของผู้เล่นใหม่ กับผู้เล่นเก่า บนเกมใหม่, ระบบใหม่หมด, FFXIV ไม่ได้ใช้ระบบเลเวลด้วย ฯลฯ

สี่เหลี่ยม บอกไว้ว่า หากทำแบบนั้นจริงๆ เท่ากับเป็นการบังคับให้ผู้เล่นย้ายไปเกมใหม่กัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ทางทีมงานเองจะพยายามทำให้คนที่อยากมาเล่นเกมใหม่นั้น สะดวก และ รู้สึกคุ้นเคยมากที่สุด หนึ่งในวิธีที่พิจารณาไว้คือ ให้โอกาศเลือกชื่อเดิมไปยังโลกใหม่ได้

ต้องขอยก quote จาก เว็บบล็อกแห่งนึง

JPButton ผมไม่แน่ใจว่าคนเขียนคอลัมน์หลักๆ ของเว็บนี้เป็นชาวอะไร แต่เขามักจะเขียนอะไรที่เป็นอีกมุมมองนึงของผู้เล่นชาวญี่ปุ่น หรือหลายครั้งก็ทำแบบสอบถาม ระหว่าง NA และ JP (แลกกันถามตอบ) บางครั้งก็มีสอนภาษาด้วย ซึ่งศัพท์ที่ยกมาส่วนใหญ่ ก็มักจะเกี่ยวกับ FFXI หรือบทสนทนาที่จะได้เห็นในตอนเล่น FFXI

ในเอนทรี่ที่ชื่อว่า Final Fantasy XIV – JP Player Early Impressions เองก็มีพูดถึงประเด็นของการย้ายจาก XI -> XIV ไว้

ที่น่าสนใจคือ ทั้งผู้เล่นชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ ต่างก็พูดถึงเรื่องการย้ายตัวละครไปสู่โลกใหม่กัน
ซึ่งชาวญี่ปุ่นเอง ก็ไม่มีข้อมุลใดๆ ทั้งนั้นว่ามันจะทำได้ (และคงไม่มีทางเป็นไปได้)

ประโยคที่ผมชอบมากในเอนทรี่นี้คือ

“fairy tale dreamt up by hopeless FFXI addicts.”

… แปลกันตรงๆ ความฝันลมๆ แล้งๆ ของเหล่าผู้ที่ติด FFXI จนเกินเยี่ยวยา

โดน….. ไม่ใช่น้อย

แต่ผมก็อยากให้ย้ายตัวละครไปได้อยู่ดีอะ… Nirvales ของผม lv 75 4 Job เชียวนะ!
…แถมตั้งใจจะเก็บ Job ที่ 5 เป็น Ranger ด้วยอะ!

 

hopeless FFXI addicts!

 

… orz

 

เล็กๆ น้อยๆ

วานาดีล (Vana’diel) คือชื่อโลกของ FFXI

ดินแดนหลักที่ผู้เล่นจะอยู่อาศัยกันในโลกของ วานาดีล คือ Middle land  ไม่ใช่ Middle Earth จาก Lord of the Ring แต่อย่างใด โดยมีทวีป คูออน (Quon) และ มินดาร์เทีย(Mindartia) เชื่อมติดกันตรงกลางด้วยเมืองท่า จูโน่ (Jeuno)

ในภายหลัง ได้มีภาคเสริมออกมาเพิ่มทวีปใหม่ ที่เรียกกันว่า Aradijah หรือ แถบ Near East ซึ่งเป็นที่ตั้งของ จักรวรรดิ์ อาท เออกัน (Aht Urhgan) ปัจจุบัน กลายเป็นเมืองหลวงของ FFXI ไปซะแล้ว…

แต่ในเกมเองยังมีกล่าวถึงดินแดน Far East ด้วย ซ๊่งน่าจะหมายถึงประเทศแทบ เอชีย นั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังไม่มีวี่แวว ว่าผู้เล่นจะได้ไปเยือน Far East สักที

อย่างไรก็ดี ยังมีแผ่นดิน Ubulka จาก Far West อีกแห่ง ที่ในตัวเกมไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร ถ้าเทียบกับโลกปัจจุบัน ก็น่าจะเป็น อเมริกา ยุคที่มีแต่อินเดียนแดง ชุด bison jacke เองก็มาจาก Ubulkaเช่นกัน

เอโอเซียร์ (Eorzea) คือชื่อแผ่นดินของ FFXIV ที่ผู้เล่นจะได้ไปผจญภัยกัน ในขณะที่ ไฮเดลิน (Hadeln) คือชื่อโลกของ FFXIV

reference: http://wiki.ffxiclopedia.org/wiki/